กลุ่มเคมิคอลส์ เอสซีจี มั่นใจปีนี้เติบโตขึ้น เหตุมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มและการฉีดวัคซีนทำให้เศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง Green Polymer 2 แสนตัน ภายในปี 2568 และขยายการขายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เป็น 50% ภายในปี 2573 พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เร่งเดินหน้า 3 กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก และสร้างการเติบโตระยะยาว พร้อมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2564 ว่า ในปี2563 ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี มีการปรับตัวในหลายๆ ด้าน เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย โดยโครงการสำคัญๆ อย่างเช่น โครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ หรือ MOCD มีความคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ และพร้อมดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในต้นไตรมาสที่ 2 นี้ โดยจะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มอีก 350,000 ตันต่อปี
ในปี 2564 ธุรกิจปิโตรเคมี เอสซีจีจะมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น เนื่องจากมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา และสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย หลายประเทศมีการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้เติบโตขึ้น 5.5%
อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายใหม่ๆ ทางธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมีความท้าทาย 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy for Plastics) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการพลาสติกใช้แล้วที่เจ้าของแบรนด์สินค้าและผู้บริโภคให้ความสำคัญ เกิดเป็นพฤติกรรม Sustainable Consumption รวมถึงมีกฎระเบียบและเป้าหมายของประเทศต่างๆ อีกหนึ่งความท้าทาย คือ การเปลี่ยนแปลงของตลาดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Shifting demand) ทำให้เกิดปัจจัยบวกต่อตลาดบางประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับการขนส่ง พลาสติกสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น คาดว่าในช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ตลาดที่อุปสงค์เคยลดลงไป เช่น กลุ่มสินค้าคงทน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าน่าจะกลับมาดีขึ้น ในขณะที่สินค้ากลุ่ม Medical and Healthcare จะเป็นกลุ่มที่มีการใช้งานสูงขึ้นในระยะยาว ในขณะที่การแข่งขันในภูมิภาคสูงขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ Supply Chain (Competition & Supply Chain Realignment) ซึ่งบางส่วนเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลง Trade Flow จาก Trade War”
ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ทางธุรกิจ รวมทั้งตอบโจทย์ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ขององค์การสหประชาชาติ และแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี จึงเดินหน้าสู่การเป็น “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ เพิ่มการขายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ( Green Polymer) 2 แสนตัน ภายในปี 2568 และขยายการขายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เป็น 50% ภายในปี 2573 โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ขับเคลื่อนด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่การเร่งการขยายเข้าสู่ธุรกิจ Circular Economy (Accelerate Circularity) เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดภาวะโลกร้อน พร้อมตอบโจทย์ลูกค้า เจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีโรดแมปขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน 4 ด้าน ครอบคลุมตลอดทั้ง Supply Chain ได้แก่
1) การพัฒนานวัตกรรมเม็ดพลาสติกและโซลูชัน โดยออกแบบให้รีไซเคิลได้ง่าย (Design for Recyclability) และคงคุณสมบัติด้านอื่นๆ ไว้อย่างครบถ้วน เป็นขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบเพื่อให้พลาสติกสามารถรีไซเคิลได้ 100% เช่น การพัฒนาโซลูชันสำหรับบรรจุภัณฑ์แบบ Mono-material ออกแบบให้ชั้นแผ่นฟิล์มในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นวัสดุชนิดเดียวกันทั้งหมด จึงนำกลับมารีไซเคิลได้ง่าย
2) การนำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ PCR (Post-Consumer Recycled Resin) โดยขณะนี้ เอสซีจีได้วิจัยพัฒนาสูตรการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล PCR ชนิด HDPE ภายใต้แบรนด์ SCG Green PolymerTM สำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่ใช้ภายในบ้าน ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาต้นแบบ PCR Booster สารปรับแต่งเพื่อยกระดับคุณภาพบรรจุภัณฑ์ให้สามารถมีส่วนผสมของเม็ดพลาสติกชนิด PCR เพิ่มขึ้นได้ โดยยังคงประสิทธิภาพของบรรจุภัณฑ์ไว้เช่นเดิม
3) การนำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับธุรกิจปิโตรเคมี (Chemical Recycling) โดยพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น หรือ Recycled Feedstock สำหรับโรงงานปิโตรเคมีเพื่อนำกลับมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกใหม่ รวมถึงสามารถผลิตเป็น food grade ได้ด้วย โดยได้ก่อสร้างโรงงานทดสอบการผลิต หรือ Demonstration Plant แห่งแรกในประเทศไทย ในพื้นที่บริเวณโรงงานจังหวัดระยอง ด้วยกำลังการผลิต Recycled Feedstock ประมาณ 4,000 ตันต่อปี และพร้อมที่จะขยายกำลังผลิตในอนาคต เมื่อเทียบกับการนำขยะไปเผาหรือฝังกลบ กระบวนการรีไซเคิลในรูปแบบนี้ มี Carbon Footprint น้อยกว่ามาก
4) การพัฒนานวัตกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาความร่วมมือกับ partners
2. เร่งการขับเคลื่อนธุรกิจ HVA (Accelerate Innovation) ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ได้พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA มาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้น 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ สุขภาพ ยานยนต์ โดยในปีนี้ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ได้ตั้งงบประมาณด้าน R&D เป็นเงินกว่า 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมและพัฒนาต้นแบบสินค้า หรือ “i2P Center” (Ideas to Products) แห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเป็นโซลูชันด้าน Material Selection, Design และ Process
3. เร่งการนำเทคโนโลจีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ (Accelerate Digital Technology) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ ทั้งด้านความเร็วและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยเอสซีจีได้เสริมความแข็งแกร่งภายในองค์กรด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน