“พาณิชย์” ประเมินกระแส “ยานยนต์ไฟฟ้า” ทั่วโลกบูมต่อเนื่อง คาดยอดจำหน่ายปี 73 จะพุ่งขึ้นเป็น 25 ล้านคัน เผยอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องก็จะโตตาม ชี้เป็นโอกาสของไทยในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อ ระบุจะส่งผลดีต่อการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ได้เพิ่มขึ้น
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงกระแสความต้องการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ สอดรับกับนโยบายรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับมีการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยสามารถมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้ ตั้งแต่การผลิตและการค้ายานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ไปจนถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น สถานีชาร์จ ธุรกิจซ่อมบำรุง ธุรกิจซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกต่างๆ
ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักงานพลังงานสากล ในปี 2562 ทั้งโลกมียอดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ขนาดเล็ก (Light duty vehicle) ที่ใช้ทั้งน้ำมันและแบตเตอรี่แบบเสียบปลั๊กอัดประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) และแบบใช้แบตเตอรี่อย่างเดียว (Battery Electric Vehicle : BEV) รวมประมาณ 2.1 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6% และมียอดจดทะเบียนทั้งโลกรวม 7.17 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40% และยังคาดการณ์ว่าในปี 2573 ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า PHEV และ BEV ทั่วโลก (รวมรถยนต์ขนส่งบุคคล รถขนส่งเชิงพาณิชย์ รถประจำทาง และรถบรรทุก) จะสูงถึงประมาณ 25 ล้านคัน และมียอดสะสมประมาณ 140 ล้านคัน โดยคาดว่ารถยนต์นั่งขนาดเล็กจะมียอดจำหน่ายและจำนวนสะสมสูงสุด และตลาดที่จะขยายตัวชัดเจน คือ จีน ยุโรป สหรัฐฯ และอินเดีย
ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ที่ทำให้ยานยนต์สามารถตอบสนองความต้องการผู้ใช้ได้หลายหลายใกล้เคียงกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน อาจทำให้ห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมยานยนต์เปลี่ยนไป โดยผู้ประกอบการจากอุตสาหกรรมอื่นๆ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับยานยนต์สมัยใหม่ (ระบบเซ็นเซอร์รอบคันสำหรับการขับขี่อัตโนมัติ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์สื่อสารไร้สายอื่นๆ) ผู้ให้บริการโทรคมนาคม แพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ เป็นต้น
สำหรับไทยจะต้องเร่งพัฒนาสภาพแวดล้อมธุรกิจและระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรักษาความสามารถในการดึงดูดการลงทุน และทำให้เป็นได้ทั้งฐานการผลิตและตลาดที่มีศักยภาพ โดยแสวงหาพันธมิตรผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญของโลก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าโลก ก็จะส่งผลให้ไทยได้รับความสนใจจากผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนชั้นนำ และเข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่มากขึ้น
ส่วนกระทรวงพาณิชย์ ต้องเร่งส่งเสริมการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ ไปยังคู่ค้าสำคัญและตลาดอื่นๆ ที่มีแนวโน้มต้องการยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และประเทศที่มีห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกับตลาดศักยภาพต่างๆ เช่น เอเชียตะวันออก (ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้) เอเชียใต้ (อินเดีย) ออสเตรเลีย อาเซียน (มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม) และสหรัฐฯ ควบคู่กับการส่งเสริมการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ที่ไทยผลิตได้ เช่น จักรยานยนต์ (จีน อินเดีย) รถโดยสารประจำทาง (จีน อินเดีย ยุโรป) ตลอดจนส่งเสริมการส่งออกภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการด้านแบตเตอรี่ การซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า การติดตั้งอุปกรณ์อัดประจุไฟฟ้า ธุรกิจแอปพลิเคชันอำนวยความสะดวกต่างๆ