“มาม่า” ออกโรงค้านเก็บภาษีเอดี “ฟิล์มบีโอพีพี” ชี้ทำให้ต้นทุนพุ่ง เผยปัจจุบันมีต้นทุนหีบห่อโดยรวมอยู่ที่ 10% หรือคิดเป็น 50 สตางค์ต่อซอง ถ้าถูกขึ้นเอดีผู้บริโภคกระทบแน่ เหตุอาจต้องปรับราคาแต่ยังไม่อยู่ในความคิด และจะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ย้ำที่ผ่านมาไม่เคยถูกเชิญไปรับฟังความคิดเห็น ทั้งที่เป็นกลุ่มกระทบหนัก
นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรา “มาม่า” เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่กระทรวงพาณิชย์กำลังพิจารณาเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบรรจุภัณฑ์ไบแอคเซียลลี ออเรียนเต็ดโพลิโพรพิลีน หรือฟิล์มบีโอพีพี ที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ตามที่ผู้ประกอบการในประเทศร้องขอให้มีการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) เพราะหากมีการเก็บภาษีเอดีจะทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างกับทุกอุตสาหกรรมที่ใช้บรรจุภัณฑ์เป็นวัตถุดิบ หรืออย่างมาม่าเองก็จะมีต้นทุนสูงขึ้น โดยปัจจุบันมีต้นทุนหีบห่อโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 10% ของต้นทุนรวม หรือคิดเป็น 0.50 บาทต่อซอง
ทั้งนี้ หากมีการปรับขึ้นภาษีเอดี ไม่เพียงแต่มาม่าจะเดือดร้อน แต่ผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะหากรับภาระต้นทุนไม่ไหวก็อาจต้องพิจารณาในเรื่องการปรับราคา ทั้งๆ ที่ไม่ต้องการใช้วิธีการนี้ เพราะถือเป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งมาม่าไม่ต้องการสร้างภาระและผลกระทบให้ผู้บริโภค
“ตอนนี้เรามีต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ทั้งแป้งสาลีและน้ำมันปาล์ม ไม่อยากที่จะให้มีต้นทุนด้านอื่นเพิ่มขึ้นอีก อย่างเรื่องหีบห่อ จึงเห็นว่าถ้าจะมีการพิจารณาใช้ภาษีเอดีก็ต้องดูให้รอบด้าน ถ้าจะปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ แต่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ได้รับผลกระทบ จะทำอย่างไร ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะวันนี้ในประเทศมีผู้ผลิตเพียงรายเดียว การจัดหาวัตถุดิบมาใช้ผลิตไม่มีความหลากหลาย นำไปสู่ปัญหาไร้ทางเลือก และอาจจะมีการกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรมได้” นายพันธ์กล่าว
สำหรับการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบีโอพีพี มาม่ายังไม่ได้รับการติดต่อให้เข้าร่วมแสดงความเห็น ทั้งที่เป็นผู้ใช้สินค้าดังกล่าวในมูลค่าที่ค่อนข้างสูง และยังมีผู้ใช้ในลักษณะเดียวกันนี้อีกเป็นจำนวนมาก จึงมองว่าการพิจารณาของกระทรวงพาณิชย์ที่มองผู้เกี่ยวข้องและผู้ใช้ คือกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์เพียงอย่างเดียว ไม่น่าจะได้ข้อมูลที่สะท้อนภาพในอุตสาหกรรมที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพีได้ทั้งหมด จึงต้องการให้มีการคำนึงถึงผู้ใช้ในขั้นสุดท้ายด้วย
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ก่อนหน้านี้กรมการค้าต่างประเทศได้เปิดให้มีการพิจารณาไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบีโอพีพี และได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งจากอุตสาหกรรมที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพีเป็นวัตถุดิบ และผู้ประกอบการที่ยื่นขอให้มีการเปิดไต่สวนใช้เอดี แต่ยังไม่เคยเชิญผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้สินค้าสำเร็จรูปจากฟิล์มบีโอพีพีมาแสดงความคิดเห็น ทั้งๆ ที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท.ได้ทำหนังสือถึงกรมการค้าต่างประเทศ แสดงความกังวลการใช้มาตรการเอดีสินค้าฟิล์มบีโอพีพี เพราะสินค้าดังกล่าวเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์เป็นจำนวนมาก โดยสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร ยา เวชภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค จึงขอให้ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ในการพิจารณา และคำนึงถึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรม