ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ 11 เดือน ปี 63 มีมูลค่า 17,548.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.24% แต่ถ้าหักทองคำ การส่งออกที่แท้จริงมีมูลค่า 4,395.91 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 42.26% เหตุได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ความต้องการลดลง ลุ้นหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีน กระตุ้นการบริโภคอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่ม
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วง 11 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่า 17,548.80 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.24% และเป็นเงินบาทมีมูลค่า 547,214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.79% โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 คิดเป็นสัดส่วน 8.30% ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย รองจากการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ แต่เมื่อหักทองคำซึ่งมีความผันผวนออก การส่งออกที่แท้จริงมีมูลค่า 4,395.91 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 42.26% เป็นเงินบาท 135,971.52 ล้านบาท ลดลง 42.43% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 7,454.53 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 34.91% เป็นเงินบาทมูลค่า 233,774.06 ล้านบาท ลดลง 35.06%
ทั้งนี้ หากดูเฉพาะเดือน พ.ย. 2563 การส่งออกเมื่อเทียบกับ ต.ค. 2563 มีมูลค่า 671.40 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 10.73% และหากหักทองคำออก มีมูลค่า 510.51 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.75% และการนำเข้ามีมูลค่า 1,818.60 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 211% โดยเป็นการนำเข้าทองคำสูงถึง 1,471.94 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 485.77% ที่เหลือเป็นการนำเข้าเพชร เครื่องประดับแท้ โลหะเงิน และพลอยสี
“ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการระบาดระลอกใหม่ปลายปี 2563 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งไทยและต่างประเทศ ทำให้การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับลดลง แต่เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม และกระตุ้นให้เกิดความต้องการสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในอนาคต ที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น ได้มอบให้สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ (องค์การมหาชน) หรือจีไอที เร่งสร้างมาตรฐานอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อตอบโจทย์การค้าในปัจจุบัน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า” นายวีรศักดิ์กล่าว
นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการจีไอที กล่าวว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่ลดลง ปัจจัยหลักยังคงเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งกลับมาระบาดอย่างหนักในหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย แม้ว่าการส่งออกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และเติบโตสูงมากในเดือน ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา แต่หลายตลาดยังคงมีทิศทางผันผวนจากผลกระทบดังกล่าว มีเพียงตลาดที่สำคัญอย่างอินเดีย ซึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจในหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิตและภาคบริการล้วนปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการที่ผู้บริโภคกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นรับช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงสิ้นปี
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อเนื่องจากปี 2563 ยังคงเป็นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรุนแรงในรอบสอง ทำให้ประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ต้องนำมาตรการล็อกดาวน์ประเทศกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไปอีก รวมทั้งทิศทางของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลให้สินค้าไทยสูญเสียโอกาสในการแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกจากความต้องการจับจ่ายใช้สอยในช่วงของเทศกาลต้นปีต่อเนื่องจากปลายปี 2563 ที่จะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงข่าวความสำเร็จของวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งทยอยฉีดในบางประเทศแล้ว