KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร (KKP) ปรับลดการคาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP สำหรับปี 2564 ลงจาก 3.5% เป็น 2.0%จากการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ในประเทศ โดยมองว่าการระบาดระลอกนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญผ่าน 2 ช่องทางหลัก คือ การประกาศปิดเมืองจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลงกว่าที่เคยประเมินไว้ กระทบต่อการลงทุน การจ้างงาน รายได้และการบริโภค โดยคาดการณ์ว่า รัฐจะสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันกับในไตรมาส 2 ปีก่อน ส่งผลให้ GDP ในไตรมาสแรกมีโอกาสโตติดลบถึง 6.1% และหากการระบาดจบลงตามคาด เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ในช่วงไตรมาส 2
และนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจกลับมาได้ช้ากว่าที่คาดซึ่งเป็นผลจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือการระบาดระลอกใหม่ในประเทศทำให้คนไทยกลับมามีความกังวลในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และในทางกลับกัน นักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีการระบาดอยู่ในระดับต่ำแล้ว เช่น จีน ก็อาจลังเลที่จะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย และแม้ไทยจะมีแผนสำหรับการผลิตและใช้วัคซีนในประเทศ แต่ต้องรอถึงช่วงครึ่งหลังของปีกว่าจะมีการเริ่มฉีดได้ในวงกว้างขึ้น ซึ่งอาจไม่ทันสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวในไตรมาส 3 ดังนั้น จึงปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวสำหรับปี 2564 ลงจากที่เคยคาดว่าจะกลับมาได้ 6.4 ล้านคนในไตรมาส 3 และ 4 เหลือเพียง 2 ล้านคนในไตรมาส 4 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การส่งออกจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในปีนี้โดยจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ตามเศรษฐกิจโลก นอกจากความคืบหน้าเรื่องวัคซีนแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คือ เศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะยังหนุนให้การส่งออกไทยสามารถขยายตัวได้ในปีนี้ แต่ในช่วงที่ผ่านมา พบว่าการส่งออกไทยยังฟื้นตัวช้ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค เนื่องจากการฟื้นตัวของการค้าระหว่างประเทศยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มสินค้าเทคโนโลยี ในขณะที่สินค้าส่งออกไทยมีสัดส่วนของสินค้ากลุ่มนี้น้อย นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าที่เกิดต่อเนื่องมาจากปีก่อน และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง จะยังคงเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้การส่งออกไทยในปีนี้ให้ขยายตัวได้น้อยลงกว่าที่เคยประเมิน รวมถึงในระยะข้างหน้ายังต้องติดตามความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19 ที่อาจทำให้เกิดปัญหาในภาคการผลิตในประเทศที่สามารถกลับมากระทบการส่งออกเพิ่มเติมได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนสูงโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ โดยหากสถานการณ์การระบาดยืดเยื้อและรุนแรง คาดว่าในกรณีเลวร้ายอาจต้องมีมาตรการที่จำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจยาวนานถึง 2 ไตรมาสเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น ภาคการผลิตและการส่งออกอาจประสบปัญหาจากความจำเป็นต้องปิดโรงงานชั่วคราวและการขนส่งสินค้า อีกทั้งหากวัคซีนไม่ได้ผลตามคาด อาจทำให้ไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยในปีนี้ ในกรณีเลวร้าย KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอาจหดตัวต่อเนื่องที่ -1.2% ในปี 2564
นอกจากนี้ การระบาดระลอกสองและการปิดเมืองจะซ้ำเติมให้การจ้างงานในภาพรวมกลับมาแย่ลงและอาจรุนแรงกว่ารอบก่อน จึงประเมินว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ธุรกิจหลายแห่งอาจจำเป็นที่ต้องขยับจากการลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานไปเป็นการเลิกจ้างถาวร เนื่องจากแบกรับต้นทุนต่อไปไม่ไหวหลังจากที่อั้นมาตลอดปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่น่ากังวลที่สุดคือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและการบริการที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงที่ผ่านมา กลับถูกซ้ำเติมอีกครั้งจากการระบาดระลอกใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่สายป่านไม่ยาวพอ อาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานในวงกว้างได้
**3 ปัจจัยเสี่ยงจีดีพีอาจติดลบ**
สำหรับปัจจัยเสี่ยงจีดีพีปี 2564 อาจโตติดลบนั้น ขึ้นอยู่กับความเสี่ยง 3 ด้านคือ หนึ่ง การลุกลามของการติดเชื้อในประเทศ ความพิเศษของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ค่อนข้างยากที่จะควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งหากการแพร่ระบาดเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหรือลากยาวออกไปเป็นเวลานานก็จะยิ่งสร้างข้อจำกัดด้านสาธารณสุข ทั้งด้านเครื่องมือและยารักษาผู้ป่วย ตลอดจนความเหนื่อยล้าของบุคลากรทางการแพทย์ และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมมากยิ่งขึ้น
สอง ข้อจำกัดด้านสาธารณสุขในการรองรับผู้ป่วยติดเชื้อหากกรณีมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น โดยเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า หากจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นถึง 15,000-20,000 คน (ปัจจุบันอยู่ที่ราว 5,000 คน) จะถึงจุดที่เกินความสามารถด้านสาธารณสุขในการรองรับได้ และมีโอกาสที่จะเห็นมาตรการล็อกดาวน์กลับมาอีกครั้ง
และสาม ประสิทธิผลและความครอบคลุมในการแจกจ่ายวัคซีนวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นกุญแจสำคัญของการที่เศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และเป็นความหวังที่ประเทศไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกครั้ง ซึ่งทางการคาดว่าจะได้รับในช่วงกลางปี 2564 และหากเป็นไปตามแผน ประชากรไทยประมาณ 20% จะได้รับวัคซีนภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ดี ความคาดหวังจากวัคซีนอาจจะสะดุดลงได้ หากวัคซีนที่ออกใช้มีประสิทธิผลในการป้องกันโควิด-19 ต่ำกว่าที่คาด จะทำให้การประเมินการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะไม่ฟื้นได้เร็วตามที่คาด และในกรณีเลวร้ายของไทยหากวัคซีนไม่เป็นไปตามที่หวัง อาจหมายถึงประเทศจะไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เลยตลอดทั้งปี 2564
**แนะนโยบายรัฐจำเป็นต้องทำมากขึ้น**
ทั้งนี้ มองว่าในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงไปอีกครั้งเช่นนี้ สร้างความเสี่ยงอย่างมากต่อความอยู่รอดของภาคธุรกิจและภาวะความเป็นอยู่ของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางและยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่จากวิกฤตโควิด-19 ระลอกที่แล้ว ภาครัฐจำเป็นต้องมีบทบาทมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาในการช่วยเหลือเยียวยาภาคธุรกิจและแรงงาน รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจนกว่าการแพร่ระบาดและเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ ถึงแม้บางโครงการ เช่น ‘คนละครึ่ง’ และ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ จะค่อนข้างประสบความสำเร็จและลงสู่ประชาชนและธุรกิจได้จริง แต่ก็ยังนับเป็นเม็ดเงินเพียงส่วนน้อย หากเปรียบเทียบขนาดของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังกับประเทศอื่นจะพบว่าไทยยังมีการใช้จ่ายจากภาครัฐในระดับที่ต่ำมาก อีกทั้งการใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศไว้ขนาด 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันยังถูกใช้ไปเพียงราวครึ่งหนึ่งเท่านั้น แสดงถึงความล่าช้าในการผลักดันมาตรการและโครงการต่างๆ ที่จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิผลและเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น
ด้งนั้น ภาครัฐควรต้องผลักดันนโยบาย ทั้งมาตรการเยียวยาระยะสั้นเพื่อเป็นการประคับประคองภาคธุรกิจและแรงงาน และนโยบายการลงทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาวที่จะเป็นการเพิ่มการจ้างงานและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย โดยประเด็นเรื่องเพดานหนี้สาธารณะที่ 60% ของจีดีพีไม่ควรเป็นข้อจำกัดในภาวะวิกฤตที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและความเดือดร้อนต่อประชาชนรุนแรงเช่นนี้ หากการกู้เงินของภาครัฐเป็นไปเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รั่วไหลน้อย และมีแผนในการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเข้มงวด ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและประชาชนโดยรวมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ด้านนโยบายการเงินก็จำเป็นต้องผ่อนคลายเพิ่มเติม ทั้งเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาคการคลัง และเพื่อเป็นการตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีในสถานการณ์ปัจจุบันที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มสะดุดลงจากการระบาดระลอกสอง โดยทั่วไปนโยบายการเงินจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการส่งผ่านเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจจริง การตอบสนองที่ช้าจะเปิดความเสี่ยงให้เกิดการหดตัวขนาดใหญ่ของเศรษฐกิจ ผู้ทำนโยบายสามารถเร่งผ่อนคลายทางนโยบายผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมรวมถึงการพิจารณาใช้นโยบายการเงินแบบใหม่อื่นๆ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้สภาพคล่องในระบบไหลไปสู่เศรษฐกิจจริงมากขึ้น และอาจช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอีกทางหนึ่งด้วย ควบคู่ไปกับการเร่งปลดล็อกเงื่อนไขของมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้เข้าถึงความช่วยเหลือได้จริงและเป็นวงกว้างมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา