กกร.เปิดช่องทางหนุนเอสเอ็มอีเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้โดยตรงหลังสิ้นสุดมาตรการพักหนี้เพื่อเดินหน้าเจรจาเป็นรายกรณี ขอเวลาประเมิน 3 เดือนประเมินผลรู้ เบื้องต้นพอใจมาตรการ
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไรวัสโคโรนา (โควิด-19) ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยหนึ่งในมาตรการที่ออกคือ มาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ต.ค. 63 ธปท.ออกประกาศให้สถาบันการเงินคงสถานการณ์จัดชั้นลูกหนี้ถึงสิ้นปี 2563 สำหรับลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการเจรจาปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อช่วยไม่ให้ลูกหนี้กลายเป็น NPL ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงปรับมาตรการจากการขยายการพักชำระหนี้ซึ่งสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 นี้
สำหรับมาตรการพักชำระหนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบและสมัครใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 1.05 ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้ประมาณ 1.35 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการได้เตรียมพร้อมและปรับตัว เป็นการให้เวลากับธุรกิจของลูกหนี้ ธนาคารเจ้าหนี้ได้มีเวลาในการศึกษาผลกระทบของลูกหนี้แต่ละรายและกำหนดแผนการชำระหนี้ให้เหมาะสอดคล้องกับแผนธุรกิจ กระแสเงินสดภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ระบบเศรษฐกิจที่จะสามารถข้ามผ่านผลกระทบดังกล่าวไปได้ โดยลูกหนี้ที่เข้าข่ายในการเข้าร่วมโครงการแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติหลังหมดมาตรการ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการว่ามีถึงกว่า 60% ของยอดหนี้ที่เข้าข่ายในการเข้าร่วมโครงการ 2. กลุ่มที่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจแต่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งหลังหมดโครงการธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณการว่ามีกว่า 20% ของยอดหนี้ที่เข้าข่ายในการเข้าร่วมโครงการ
3. กลุ่มที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ ซึ่งหลังหมดโครงการ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้สถาบันการเงินเจ้าหนี้พิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้เป็นรายกรณี ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน นับจากสิ้นปี 2563 ซึ่งธนาคารประเทศไทยประมาณการว่ามี 10% ของยอดหนี้ที่เข้าข่ายในการเข้าร่วมโครงการ 4. กลุ่มที่ขาดการติดต่อกับสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 6% ของยอดหนี้ที่เข้าข่ายที่สามารถเข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้ ธปท.ได้ออกประกาศให้สถาบันการเงินคงสถานการณ์จัดชั้นลูกหนี้ถึงสิ้นปี 2563 สำหรับลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการเจรจาปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อช่วยไม่ให้ลูกหนี้กลายเป็น NPL ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงปรับมาตรการจากการขยายการพักชำระหนี้ซึ่งสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ต.ค. 63 นี้ เป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เชิงรุกและตรงจุดที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้แต่ละราย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เพื่อให้ทราบว่ามีภาคธุรกิจใดที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ พร้อมเปิดช่องทางให้ลูกหนี้ที่มีปัญหาในการติดต่อสถาบันการเงิน หรือยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันกับสถาบันการเงินได้ สามารถแจ้งความต้องการที่จะปรับโครงสร้างหนี้ไปยังสถาบันการเงินผ่านเว็บไซต์ "ทางด่วนแก้หนี้" ตลอด 24 ชม. หรือที่ศูนย์ประสานงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 0-2345-1000 หรือศูนย์ประสานงานของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 0-2018-6888 ต่อ 3520, 3540 ตามที่ผู้ประกอบการเป็นสมาชิกอยู่ เพื่อประสานงานกับสมาคมธนาคารไทย และธนาคารเจ้าหนี้ต่อไป
“คงจะติดตามประเมินทิศทาง 3 เดือนจึงจะสรุปได้ว่ามีทิศทางเป็นอย่างไร โดยธุรกิจที่มีปัญหาการเงินส่วนใหญ่อยู่ในภาคท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากเพราะไทยยังไม่เปิดรับต่างชาติ ซึ่งคิดว่าจะทยอยเปิดในระยะต่อไป ทำให้สถานการณ์ค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดที่ยังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมหลังจากนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการแต่ละรายจะเข้าไปเจรจากับสถาบันการเงินเป็นรายกรณี” นายสุพันธุ์กล่าว
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยและประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ข้อมูลจาก ธปท.พบว่ากลุ่มที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ประมาณ 10% ให้สถาบันการเงินขยายเวลาชำระหนี้เป็นรายกรณีได้อีกไม่เกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี 2563 และกลุ่มที่ขาดการติดต่อกับสถาบันการเงินคาดว่ามีประมาณ 6%