xs
xsm
sm
md
lg

กรมเจรจาฯ หนุนใช้เอฟทีเอส่งออกอาหารทะเล-นำเข้าวัตถุดิบ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ” แนะผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และนำเข้าวัตถุดิบมาใช้ในการผลิต เผย 8 เดือนทำรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 5%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศที่ไทยทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) จำนวน 15 ประเทศ จาก 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกภาษีศุลกากรสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่เก็บจากไทยแล้วทุกรายการ ยกเว้น 3 ประเทศที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ เช่น ญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าปลาแปรรูปต่างๆ เช่น ซาร์ดีน แฮริ่ง แอนโชวี่ รวมถึงปูแปรรูปที่ 5% ปูกระป๋องที่ 9.6% เกาหลีใต้เก็บภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องหรือแปรรูปที่ 20% ปลาซาร์ดีนกระป๋องที่ 16% และอินเดีย เก็บภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋อง และกุ้งกระป๋องและแปรรูปที่ 30% เป็นต้น

“ในการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปไปยังประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ผู้ประกอบการต้องใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออก เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยังสามารถใช้เอฟทีเอช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้ามาใช้ในการผลิตอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป โดยสามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายขึ้น เนื่องจากภายใต้เอฟทีเอไทยได้ลดเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าประมงกลุ่มวัตถุดิบที่ไทยขาดแคลนและจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ปลาทูน่าและปลาซาร์ดีนแล้ว” นางอรมนกล่าว

ทั้งนี้ การส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ในช่วง 8 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-ส.ค.) มีมูลค่า 2,583.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5% โดยไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปอันดับที่ 2 ของโลก รองจากจีน และครองแชมป์ผู้ส่งออกสินค้าทูน่ากระป๋องอันดับที่ 1 ของโลก

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ปลาทูน่ากระป๋องส่งออก มูลค่า 1,564 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 11% ปลาแปรรูป มูลค่า 253 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 23% กุ้งกระป๋อง มูลค่า 163 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 10% ปลาซาร์ดีนกระป๋อง มูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 2% และหอยลายแปรรูป มูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 23.5% เป็นต้น

ส่วนตลาดส่งออกสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ไม่มีเอฟทีเอกับไทย ส่งออกได้มูลค่า 729 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 24% ออสเตรเลีย มูลค่า 170 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 2.4% และอาเซียน มูลค่า 120 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 41% โดยอาเซียนถือเป็นตลาดส่งออกที่น่าจับตามอง เพราะการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกตลาด เช่น กัมพูชา เพิ่ม 52% สิงคโปร์ เพิ่ม 61% มาเลเซีย เพิ่ม 19% ฟิลิปปินส์ เพิ่ม 88% เป็นต้น สินค้าที่เติบโตได้ดี ได้แก่ ทูน่ากระป๋อง ซาร์ดีนกระป๋อง และปลาแปรรูป

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ความตกลงเอฟทีเอแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ มูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปของไทยไปประเทศคู่เอฟทีเอจนถึงปี 2562 พบว่า ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกตลาด เช่น ญี่ปุ่น เพิ่ม 59% ออสเตรเลีย เพิ่ม 114% อาเซียน เพิ่ม 614% จีน เพิ่ม 3,499% เปรู เพิ่ม 2,674% เกาหลีใต้ เพิ่ม 246% นิวซีแลนด์ เพิ่ม 98% อินเดีย เพิ่ม 87% และชิลี เพิ่ม 27% ซึ่งสอดคล้องกับสถิติที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์ส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปด้วยเอฟทีเอสูงเป็นอันดับต้นๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น