กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศแนะผู้ประกอบการส่งออกพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใช้เอฟทีเอเพิ่มยอดส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมย้ำต้องให้ความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพ มาตรฐาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระยะยาว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกต้องการซื้อสินค้าอาหารที่เก็บไว้ได้นานมากขึ้น เช่น อาหารแห้งและอาหารกระป๋อง จึงเป็นโอกาสที่ไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปอันดับต้นของโลก โดยเฉพาะสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่มีศักยภาพในการผลิตสูง และปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน สามารถที่จะเพิ่มการผลิตและใช้แต้มต่อจากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ขยายการส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จรูปตามความต้องการของตลาดโลกได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีเอฟทีเอ 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ โดยประเทศคู่เอฟทีเอ 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกภาษีศุลกากรกับสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปทุกรายการจากไทยแล้ว ส่วนอีก 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ยังคงเก็บภาษีนำเข้าบางรายการ
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาความตกลงเอฟทีเอช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปของไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปไปทั่วโลกเป็นมูลค่าสูงถึง 3,775 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 227% และในจำนวนนี้เป็นการส่งออกไปยังประเทศคู่เจรจาเอฟทีเอมูลค่ารวม 1,407 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 37% ของการส่งออกทั้งหมด โดยมีประเทศคู่ค้าสำคัญ 5 อันดับแรก คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อาเซียน เปรู และเกาหลีใต้ ตามลำดับ ส่วนสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ปลาทูน่ากระป๋อง สัดส่วน 57% รองลงมาคือ กุ้งกระป๋องและแปรรูป 19% ปลาแปรรูป 9% และปลาซาร์ดีนกระป๋อง 4%
อย่างไรก็ตาม หากนับตั้งแต่ความตกลงเอฟทีเอมีผลใช้บังคับ พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปของไทยไปประเทศคู่เอฟทีเอขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกตลาด โดยจีนขยายตัวสูงสุด 4,457% รองลงมาคือ เปรู เพิ่ม 2,088% อาเซียน เพิ่ม 613% เกาหลีใต้ เพิ่ม 246% และออสเตรเลีย เพิ่ม 114% ซึ่งสอดคล้องกับสถิติที่พบว่าสินค้าอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเป็นสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกด้วยเอฟทีเอเป็นอันดับต้น
“แม้ความต้องการบริโภคอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่เพิ่มขึ้นจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจเป็นความต้องการระยะสั้น แต่ตลาดสินค้าดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประชากรโลกมีความต้องการบริโภคสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมประมงของไทยควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า และวิธีการทำประมงให้สอดรับกับกฎเกณฑ์และมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สู่การเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลที่สำคัญของโลก” นางอรมนกล่าว