กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศแนะผู้ผลิต ผู้ส่งออก เกาะติดเทรนด์รักสุขภาพ และใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายตลาดสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไทย เผยล่าสุดมี 13 ประเทศยกเว้นภาษีนำเข้าแล้ว ส่วนยารักษาโรคจากสมุนไพรมี 17 ประเทศที่ยกเลิกภาษี ย้ำต้องให้ความสำคัญต่อคุณภาพ มาตรฐาน และศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งของไทยและต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสส่งออก
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายประเทศมีการตื่นตัวและให้ความสำคัญต่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้พืชสมุนไพรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย จึงเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการที่จะขยายตลาดสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไทย โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยมีอยู่จำนวน 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ เพื่อเพิ่มแต้มต่อในการส่งออก ซึ่งสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรของไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าแล้วจากประเทศคู่เอฟทีเอ 13 ประเทศ เหลือเพียง สปป.ลาว จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ที่ยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรจากไทยบางรายการ ขณะที่ยารักษาโรคจากสมุนไพรได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่เอฟทีเอ 17 ประเทศแล้ว ยังเหลืออินเดียที่คงอัตราภาษีที่ 5%
“จากกระแสตื่นตัวทั้งการดูแลสุขภาพ และการใช้สมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายดังกล่าว จึงเป็นโอกาสทองของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มยอดการส่งออก ทั้งในรูปวัตถุดิบ และการแปรรูปเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส อาหารเสริม เครื่องสำอาง เป็นต้น และควรให้ความสำคัญต่อเรื่องคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า โดยเฉพาะความสะอาดปลอดภัย เช่น ระมัดระวังให้ปราศจากสารปนเปื้อน ยาฆ่าแมลง สิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค และแมลง รวมทั้งต้องศึกษากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกจากสมุนไพรของแต่ละประเทศด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งออกได้” นางอรมนกล่าว
นอกจากนี้ การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรอาจมีมาตรการควบคุมเข้มงวดเพิ่มเติม เช่น ประเทศไทยมี พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ที่กำหนดให้ต้องขออนุมัติผลิตภัณฑ์สมุนไพรก่อนออกสู่ตลาด รวมทั้งต้องขออนุญาตผลิต ขายและนำเข้า หรือในกรณีที่เป็นยาทำจากสมุนไพรอาจมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดเป็นพิเศษ โดยต้องมีการขอขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยต้องมีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับสูตร ส่วนประกอบ กรรมวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐานตามที่กําหนด มีความปลอดภัยและสามารถเชื่อถือในสรรพคุณตามหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล ขณะที่ต่างประเทศอาจกำหนดมาตรการควบคุมการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่แตกต่างกัน เช่น การขออนุญาตนำเข้า การจดทะเบียนโรงงาน การตรวจสอบสุขอนามัยและความปลอดภัย การตรวจสอบย้อนกลับ การดูแลในเรื่องฉลากสินค้า และการอวดอ้างสรรพคุณของสินค้า ซึ่งต้องศึกษาและเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อที่จะได้ผลิตและส่งออกได้โดยไม่ติดขัด
ในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าเครื่องเทศและสมุนไพรไปทั่วโลกรวมเป็นมูลค่าถึง 196 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้ากลุ่มขิงและขมิ้นมีสัดส่วนการส่งออกสูงที่สุด คิดเป็น 37% รองลงมาคือ หมาก 34% และพริก 14% เป็นการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ 18 ประเทศ ถึง 130 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 66% ของการส่งออกทั้งหมด มีตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น อาเซียน ส่วนแบ่งตลาด 49% (พม่า เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 มีส่วนแบ่งตลาด 79%) ปากีสถาน 12% ญี่ปุ่น 9% สหภาพยุโรป 7% และจีน 3% เป็นต้น