“พาณิชย์” หารือเอกอัครราชทูตชิลี เดินหน้าส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้เอฟทีเอไทย-ชิลี เล็งร่วมจัดสัมมนาชี้โอกาสการค้า การลงทุน การใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ พร้อมติดตามความคืบหน้าการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้ารูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เผย ม.ค. 64 ได้ใช้แน่
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้หารือกับนายคริสเตียน เรเรน บาร์เกตโต เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐชิลีประจำประเทศไทย และนางโรส มารี เบเดการ์แรตซ์ ผู้แทนการค้าชิลีประจำประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าภายใต้เอฟทีเอไทย-ชิลีเพิ่มขึ้น โดยจะร่วมกันจัดสัมมนาเพื่อให้ข้อมูลโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในชิลีและการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ
ทั้งนี้ ยังได้มีการติดตามความคืบหน้าการดำเนินการรับรองหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า และสนับสนุนให้การค้าสองฝ่ายขยายตัวสูงขึ้นท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ในเดือนม.ค. 2564
“ไทยและชิลีจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมการค้าและการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ภายใต้เอฟทีเอให้มากขึ้น โดยสัดส่วนการใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอส่งออกไปยังชิลีในช่วงครึ่งปี 2563 สูงสุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับเอฟทีเออื่นๆ ของไทย ซึ่งชิลีเป็นตลาดสำคัญ โดยเป็นช่องทางสำหรับขยายการค้าและการลงทุนไปสู่ภูมิภาคละตินอเมริกา อีกทั้งชิลีได้ให้ความสำคัญต่อไทยในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน และตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดใหญ่อย่างจีน” นางอรมนกล่าว
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันว่าควรเร่งสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดระหว่างกัน รวมถึงรองรับโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยปัจจุบันชิลีเริ่มเข้าสู่ตลาดออนไลน์ของไทยในกลุ่มสินค้าอาหารทะเลและผลไม้ ในขณะที่สินค้าไทยในกลุ่มอาหารกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยง ถุงมือยาง และถุงยางอนามัย ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชิลีด้วยเช่นกัน จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ทั้งสองประเทศจะได้ร่วมมือกันเพื่อขยายการค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในอนาคตต่อไป
ในช่วง 8 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-ส.ค.) การค้าระหว่างไทยกับชิลีมีมูลค่าราว 521.4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 230.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ รถยนต์ส่งของ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ปลากระป๋อง เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และถุงมือยาง และไทยนำเข้ามูลค่า 291.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง สินค้าประมง ผลไม้ เยื่อกระดาษ น้ำมันปลา ไวน์ และเนื้อสัตว์แปรรูป