“พาณิชย์” เตรียมเสนอ ครม.เดือน ต.ค.นี้ ไฟเขียวไทยลงนาม “อาร์เซ็ป” หลังสมาชิกขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมายเสร็จแล้ว เผยจากนั้นจะเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อนให้สัตยาบัน คาดมีผลบังคับใช้กลางปี 64 พร้อมเดินสายชี้แจงโอกาส ประโยชน์ที่จะได้ และแนวทางปรับตัว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในเดือน ต.ค. 2563 กรมฯ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบให้ไทยลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ที่มีสมาชิกประกอบด้วยอาเซียน และคู่เจรจา คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพราะขณะนี้การขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมายของความตกลงทั้ง 20 บทเสร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว คงเหลือเพียงประเด็นคงค้างในเรื่องการเปิดตลาดอีกเล็กน้อย และพร้อมจะลงนามร่วมกันตามเป้าหมายภายในเดือน พ.ย. 2563 ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียน ซัมมิต) ที่ประเทศเวียดนาม
“หลังจากการลงนามในเดือนพ.ย.2563 สมาชิกอาร์เซ็ปและไทย ต้องดำเนินการภายใน เพื่อให้สัตยาบัน ซึ่งไทยจะต้องทำเรื่องเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน คาดว่าความตกลงจะมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปี 2564 หลังจากสมาชิกอาเซียนกึ่งหนึ่งให้สัตยาบัน และคู่เจรจากึ่งหนึ่งให้สัตยาบัน” นางอรมนกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ กรมฯ ได้เดินหน้าเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจกับฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะเกษตรกร และผู้ประกอบการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้สามารถเตรียมการใช้ประโยชน์จากความตกลง เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้า การลงทุนของไทย และปรับตัวรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งในการช่วยเหลือด้านการปรับตัว ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการศึกษาถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อเยียวยา และช่วยเหลือผู้ที่คาดจะได้รับผลกระทบจากการทำเอฟทีเอของไทยกับประเทศต่างๆ แล้ว
นอกจากนี้จะเผยแพร่เนื้อหาของความตกลงฉบับสมบูรณ์ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมฯ ที่ www.dtn.go.th หลังจากสมาชิกตกลงให้เผยแพร่ต่อสาธารณะได้ รวมถึงจะชี้แจงคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งชี้แจงต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ด้วย
สำหรับความตกลงอาร์เซ็ปจะช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย เข้าไปลงทุนในประเทศสมาชิกในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ก่อสร้าง ค้าปลีก ธุรกิจด้านสุขภาพ ธุรกิจเกี่ยวกับภาพยนตร์และบันเทิง รวมถึงช่วยสร้างโอกาสการส่งออกสินค้าเกษตร และยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะน้ำตาล อาหารแปรรูป มันสำปะหลัง กุ้ง และข้าว ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่สมาชิกเปิดตลาดเพิ่มเติมให้ไทย เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ยางล้อ เส้นใย เครื่องแต่งกาย ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง กระดาษ เป็นต้น