การตลาด - อุตสาหกรรมอีเวนต์ 13,000 ล้านบาทจุดประกายอีกครั้งหลังโควิด-19 ชิมลางด้วยอีเวนต์รูปแบบคอนเสิร์ตยุค New Normal จากออนกราวนด์ เปิดโอกาสด้วยออนไลน์ ช่วยชีวิตคนดนตรี ส่วนอีเวนต์รูปแบบอื่นๆ เน้นขนาดเล็กลง และไพรเวตมากขึ้น รอลุ้นถึงสิ้นปี 2563 อุตสาหกรรมอีเวนต์น่าจะกลับมาที่ 20% หรือราว 2,600-3,000 ล้านบาท
อุตสาหกรรมอีเวนต์ในไทยที่มีมูลค่ามากกว่า 13,000 ล้านบาท ถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แบบเต็มๆ หรือปัจจุบันมีค่าเท่ากับศูนย์ เพราะอีเวนต์ทุกรูปแบบไม่สามารถจัดขึ้นได้เลย ทำให้อาชีพที่เกี่ยวเนื่องได้รับผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ รวมถึงกลุ่มนักร้อง ศิลปิน นักดนตรี ที่งานเล่นคอนเสิร์ต โชว์ตัว ถูกยกเลิกหมด จนต้องปรับตัวมาเป็นเล่นแบบไลฟ์สดแทน ผ่านช่องทางแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ เป็นต้น ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา
คาดกันว่าปลายปีนี้อุตสาหกรรมอีเวนต์อาจจะฟื้นตัวกลับคืนมาเพียงแค่ 20-30% ของทั้งหมด หรือมีมูลค่าเพียง 2,600-3,000 ล้านบาทเท่านั้น
“การปรับตัวของอีเวนต์คอนเสิร์ตในยุค New Normal เป็นการปรับตัวจากออนกราวด์สู่ออนไลน์ หรือการผสมผสานระหว่างออนไลน์กับออนกราวนด์ ซึ่งผู้ชมจะให้การตอบรับดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวิธีการนำเสนอ มีความแปลกใหม่ หรือให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ไปเลย คอนเสิร์ตออนไลน์ถึงจะเกิดขึ้นได้ แต่หากทุกอย่างไม่ได้น่าสนใจอย่างที่คิด สุดท้ายแล้วผู้ชมก็จะหวนกลับไปที่คอนเสิร์ตในรูปแบบเดิมแทน” นี่คือความคิดเห็นบางส่วนจาก นางสาวสรินพร จิวานันต์ กรรมการผู้จัดการ เอ็นไวโร ประเทศไทย
เมื่อการรับชมคอนเสิร์ตจะต้องเปลี่ยนไปรับชีวิตวิถีใหม่แบบ New Normal หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง จะเห็นได้ว่าหลายๆ ภาคส่วนได้ร่วมมือกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนดนตรี ค่ายเพลง แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ และบริษัทอีเวนต์ เพื่อปฏิวัติอีเวนต์คอนเสิร์ตในรูปแบบใหม่ๆ ให้กลับมาเป็นอีเวนต์รูปแบบแรกๆ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา ซึ่งคอนเสิร์ตยุค New Normal จะต้องปรับตัวกันใหม่ตั้งแต่กระบวนการทางความคิด ต้นทุน รายได้ ไปจนถึงการนำเสนอ
*** “อินเด็กซ์-ไอคอน-ทรู” ผนึกกำลัง
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อินเด็กซ์เป็นบริษัทรับจัดงานอีเวนต์ และถือเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นกัน จึงได้มีแนวคิดในการทำอีเวนต์คอนเสิร์ตรูปแบบใหม่ขึ้นให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงหลังโควิด-19 คลี่คลาย และสิ่งที่อินเด็กซ์ทำเป็นความร่วมมือกันกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการในรูปแบบเฟรนด์ชิปอีโคโนมี คือการช่วยเหลือกันแบบเพื่อน
โดยได้ 2 พันธมิตรใหญ่เข้ามาร่วม คือ ไอคอนสยาม และทรู ไอคอน ฮอลล์ และศิลปิน ค่ายเพลงดังอีก 5 ค่าย รวมถึงศิลปิน นักร้อง นักดนตรี อีกหลายชีวิต ภายใต้โมเดลการหารายได้แบบแบ่งรายได้ร่วมกันทั้งหมด ไม่ใช้วิธีทำธุรกิจอย่างที่ผ่านมา เช่น ค่าตัวศิลปิน ก็จะต้องมาจากการแชร์รายได้ร่วมกัน เป็นต้น
โปรเจกต์นี้ถือเป็นการหาทางออกและต่อลมหายใจให้กับธุรกิจคอนเสิร์ตกลับมาอีกครั้งในยุค New Normal ในรูปแบบไฮบริดอีเวนต์ ผสมผสานระหว่างความเป็นออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกัน จึงเป็นที่มาของไฮบริด คอนเสิร์ต ครั้งแรกในไทย กับ “เวทีคอนเสิร์ตคือรอยยิ้ม” ห่างไกลแต่ใกล้ชิด ที่สามารถรับชมได้ทั้งแบบ Real Live ในสถานที่จริง แสงสีเสียงเต็มรูปแบบ และทางออนไลน์ผ่านการ Live Streaming โปรเจกต์นี้คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท แต่ทุกคนทำด้วยใจ เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้
ขณะที่ช่องทางหารายได้จะมาจาก 900 ที่นั่งเป็นหลักซึ่งสามารถทำได้แค่นี้ ซึ่งถือเป็น 20% ของที่นั่งปกติที่สามารถจัดได้ นอกจากนี้ยังมีรายได้จากสปอนเซอร์อีกส่วนหนึ่งด้วย ขณะที่รายได้จากออนไลน์ถือเป็นรายได้เสริม
ส่วนเรื่องของศิลปินที่จะมาประเดิมเวที Serie1 ภายใต้ Theme Empire of Dance ได้แก่ King and Queen of Dance อย่างเจ-เจตริน และคริสติน่า อากีลาร์ ในวันที่ 18 ก.ค นี้ นอกจากนี้ยังมีศิลปินจากค่ายอื่นๆ เช่น GMM Grammy, J MIDEE, SMALLROOM, MUZIC MOVE และ What The Duck ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ที่เตรียมจัดคอนเสิร์ตไปตลอดทั้งปีนี้ เฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง ราคาบัตรตั้งแต่ 2,500 บาท, 4,000 บาท, 5,000 บาท และ 6,000 บาท เพียง 900 ที่นั่ง ส่วนบัตรรับชมผ่านออนไลน์มี 600 บาท และ 980 บาท จำหน่ายบัตรที่ www.way-t.com
“คอนเสิร์ตในยุค New Normal คือคอนเสิร์ตที่มีการผสมผสานกับทั้งออนกราวนด์และออนไลน์ แต่สุดท้ายแล้วผู้ชมก็ยังโหยหาคอนเสิร์ตในรูปแบบเดิม เพราะคอนเสิร์ตเป็นยูนีค ต้องดูสด และเรียลเอ็กซ์พีเรียนซ์ เพราะการชมออนไลน์ไม่นานก็เบื่อ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นไฮบริด คอนเสิร์ต แต่โปรดักชันจัดเต็ม ศิลปินแสดงเต็มที่ ขณะที่ผู้ชม 900 ที่นั่งมาพร้อมที่นั่งรับชมแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ส่วนผู้ชมทางออนไลน์จะได้รับหูฟัง JBL เพื่ออรรถรสในการรับฟังที่ดียิ่งขึ้น” นายเกรียงไกร กาญจนโภคิน กล่าว
*** “บีอีซีเทโร-PM-JOOX” ร่วมลุย
ด้านบีอีซี-เทโร ตัวพ่อแห่งวงการโปรโมเตอร์จัดงานคอนเสิร์ตนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงในประเทศ ล่าสุดก็พร้อมเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน โดยได้จับมือกับ PM Center, JOOX และศิลปินหลากค่าย เปิดไลน์อัพคอนเสิร์ตปีนี้ โดยรับชมผ่านช่องทางโมบายล์แอปพลิเคชันของ JOOX
นายเนล ทอมป์สัน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะผู้จัดคอนเสิร์ต โจทย์ใหญ่ที่เราโฟกัสมากที่สุดคือ เรื่องคุณภาพของโชว์ทั้งงานโปรดักชัน แสง สี เสียง และภาพ ยิ่งเมื่ออยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์สำคัญมาก คือคนดูจะต้องได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและคุ้มค่า ไม่ต่างจากความรู้สึกของการไปดูไลฟ์คอนเสิร์ต และในส่วนของศิลปินเองก็จะต้องรู้สึกสบายใจมั่นใจในการนำเสนอโชว์ให้ออกมาดีที่สุด เหมาะกับบุคลิกของศิลปิน และสามารถสัมผัสได้ถึงพลังจากแฟนๆ ที่ชมอยู่
ดังนั้นจึงได้จับมือกับทาง JOOX แพลตฟอร์มมิวสิกสตรีมมิ่งและพีเอ็ม ผู้นำทางด้านไลฟ์โปรดักชัน สร้างความมั่นใจให้แก่ศิลปินในการสร้างสรรค์โชว์ให้ออกมาดีที่สุด โดยซีรีส์คอนเสิร์ตนี้จะถ่ายทอดด้วยระบบ HD ซึ่งมีความคมชัดสูง และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ชม โดยมีทั้งไลฟ์สตรีมมิ่ง และไฮบริดที่ผสมผสานระหว่างการชมออนไลน์และเข้าชมในสถานที่จริง ภายใต้เงื่อนไขการรักษาความปลอดภัยด้านสาธารณสุข
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็ม เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า นับเป็นปรากฏการณ์ทางดนตรีครั้งสำคัญของไทยที่เกิดความร่วมมือกันจัดคอนเสิร์ตในรูปแบบออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์และเป็นเทรนด์ของการดูคอนเสิร์ตในยุคนี้ ซึ่งการจัดงานในรูปแบบออนไลน์ยังมีข้อดีที่ทำให้ผู้ชมสามารถใกล้ชิด เลือกรับชมศิลปินที่ชื่นชอบได้
ในส่วนของ PM Center ได้สนับสนุนพื้นที่จัดงาน โดยมีสตูดิโอสตรีมมิ่งครบวงจร 3 สตูดิโอ 3 ขนาด เพียบพร้อมด้วยระบบภาพ แสง เสียง และทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านควบคุมอุปกรณ์ และระบบรองรับการจัดงานรูปแบบออนไลน์ได้หลายประเภท โดยเฉพาะงานแสดงคอนเสิร์ต รวมไปถึงยังมีความพร้อมด้านการจัดงาน มุ่งความเป็นผู้นำในการเป็น New Normal Event ตลอดจนทีมงานที่เชี่ยวชาญระบบ Live Streaming ที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยสร้างมิติใหม่ๆ ในการจัดคอนเสิร์ต ซึ่งจะช่วยทำให้การจัดงานผ่านเทคโนโลยีออนไลน์สมบูรณ์แบบมากขึ้น
นายปีเตอร์ เมย์ หัวหน้าฝ่ายเอนเตอร์เทนเมนต์แอนด์มัลติมีเดีย บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหาร JOOX ประเทศไทย กล่าวต่อว่า การร่วมมือกับบีอีซี-เทโร และพีเอ็ม เซ็นเตอร์ ในการจัดคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่ อย่าง ‘ซาวนด์บอกซ์ ออนไลน์’ ในครั้งนี้จะช่วยตอกย้ำจุดยืนดังกล่าว และยังถือเป็นการสร้างกิจกรรมความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่ตอบรับกับเทรนด์ที่เปลี่ยนไป เชื่อว่ากิจกรรมนี้จะสร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีที่เยี่ยมยอดให้แก่ผู้ชมทุกคนได้อย่างแน่นอน
ขณะที่ความร่วมมือในการจัดคอนเสิร์ตวิถีใหม่ มีศิลปินจากหลากหลายค่ายเพลงเข้าร่วม นำโดย สล็อต แมชชีน, แม็กซ์ เจนมานะ, ทูพี เซาท์ไซด์ และอีกมากมายได้ประกาศไลน์อัพ ซีรีส์คอนเสิร์ต ภายใต้ชื่อ ซาวนด์บอกซ์ ออนไลน์ (SoundBox Online) โดยรับชมผ่านช่องทางโมบายล์แอปพลิเคชันของ JOOX เริ่มเสิร์ฟความบันเทิงแรกกับ Slot Machine "10 ปีจันทร์เจ้า" Virtual Live From The Moon วันที่ 18 ก.ค.นี้ เปิดจำหน่ายโค้ดเข้าชมการแสดงตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.นี้ ตามด้วย MAX JENMANA LIVE..NOWHERE NOWHERE IT’S JUST A MATTER OF SPACING วันที่ 24 ก.ค. และ Twopee Southside Presents "SouthSide Ambassador Virtual Live" วันที่ 26 ก.ค.นี้ เปิดจำหน่ายโค้ดเข้าชมการแสดงในราคา 499 บาท ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.นี้ ทาง www.thaiticketmajor.com
*** “จีเอ็มเอ็ม” พี่ใหญ่ ดึง “VLIVE” ร่วมวง
ปิดท้ายด้วย GMM Grammy ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเพลงเมืองไทย ซึ่งเป็นอีกรายที่ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน ทั้งในส่วนของธุรกิจคอนเสิร์ตเอง รวมถึงการโชว์ตัวของศิลปิน นักร้อง นักดนตรีในสังกัดอีกมากมาย แกรมมี่จึงเป็นรายแรกที่ออกปฏิวัติคอนเสิร์ตรูปแบบใหม่เพื่อช่วยศิลปินในสังกัด โดยจับมือ VLIVE จัด GMM Online Festival จากคอนเสิร์ตออนกราวด์สู่คอนเสิร์ตออนไลน์ ประเดิม 2 วันเต็ม 4-5 ก.ค.นี้
“ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมาในสถานการณ์โควิด-19 แกรมมี่ได้ให้ความสำคัญในความร่วมมือกับภาครัฐอย่างต่อเนื่องด้วยดีเสมอมา ด้วยการหยุดจัดคอนเสิร์ตทุกรูปแบบ แต่ในขณะเดียวกันการดูแลบุคลากรในอุตสาหกรรมคอนเสิร์ตทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ล่าสุดจึงได้จับมือกับแอปพลิเคชันออนไลน์ชื่อดังจากเกาหลีใต้อย่าง VLIVE เพื่อจัด Online Music Festival ที่ใหญ่ที่สุดให้ได้รับชมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์คุณภาพระดับโลก
การสร้างปรากฏการณ์พิเศษในครั้งนี้ เชื่อว่าวันนี้ธุรกิจ Showbiz ได้แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบอย่างชัดเจน ทั้ง On Ground และ Online ซึ่งให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันและไม่สามารถทดแทนกันได้” นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) กล่าว
การจัดงาน GMM Online Festival ในครั้งนี้จัดขึ้นด้วยโชว์รูปแบบใหม่ 2 วันเต็ม โดยจัดขึ้นในวันที่ 4-5 ก.ค. 2563 ที่ผ่านมา รวมศิลปินยอดนิยมรวมกว่า 20 วง นำทีมโดย เป๊ก ผลิตโชค, พาราด็อกซ์, เคลียร์, อะตอม, ทเวนตี้ไฟว์ฮาวเออร์ส, ค็อกเทล, โลโมโซนิก, เกทสึโนวา, เดอะเยอร์ส, ไททศมิตร, มียู, เลซี่ล็อกซี่, มิลลิ, ไมยราพ, สนามหลวงมิวสิก, ทรีแมนดาวน์, ทิลลี่เบิร์ดส์, อนาโตมี่ แรบบิต และเซฟแพลนเน็ต
ยิ่งไปกว่านั้น ยังจัดเต็มเรื่อง Production ที่สามารถ Interact กับผู้ชม และผสมผสานการถ่ายทอดสดเพื่ออรรถรสในการรับชมที่ครบครันบน 4 เวที คือ Main Stage, Cube Stage, Green Stage และ Prop Stage ที่มาพร้อมกับจอ LED สุดอลังการที่สามารถแสดงได้ไม่จำกัดจำนวน และยังสร้างความรู้สึกเสมือนจริงด้วย AR Technology เต็มรูปแบบ จึงทำให้ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากคอนเสิร์ตปกติทั่วไป
ความพิเศษของ GMM Online Festival ยังมีอีก 6 จุดเด่นที่จะสร้างความแตกต่างจนแฟนคลับทุกคนต้องรีบไปจับจองบัตร ดังนี้ 1. ไม่จำกัดจำนวนผู้ซื้อบัตร จึงทำให้สามารถรองรับความต้องการของแฟนๆ ได้อย่างไม่จำกัด 2. สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ทุกที่มากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก 3. ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงประสบการณ์รูปแบบใหม่ของคอนเสิร์ตออนไลน์ผ่าน AR Technology 4. ผู้ชมสามารถแสดงตัวตนบนหน้าจอที่อยู่บนเวที พร้อมส่งคอมเมนต์สดๆ ระหว่างการแสดง และทักทายพูดคุยได้แบบเรียลไทม์ผ่าน Virtual Meeting 5. สามารถชมแบบเสียงภาษาไทย และเลือกรับชมพร้อมคำบรรยายได้ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน 6. ราคาบัตรสุดคุ้มที่สามารถรับชมได้ทั้ง 2 วัน ในราคาเพียง 600 VCoins (ประมาณ 350 บาท)
ทั้งนี้ อีเวนต์คอนเสิร์ตออนไลน์ของจีเอ็มเอ็มได้ผ่านพ้นไปแล้วด้วยความสำเร็จอย่างดี
อย่างไรก็ตาม การปรับของคอนเสิร์ตหลังโควิด-19 ครั้งนี้ หากทำได้ดีถือเป็นการช่วยให้อีเวนต์คอนเสิร์ตเริ่มกลับมาได้ แต่ไม่นานผู้คนก็จะเบื่อ และโหยหาคอนเสิร์ตในรูปแบบเดิม ซึ่งมองว่าปี 2564 น่าจะได้เห็นบรรยากาศเดิมๆ อีกครั้ง แม้ว่าครึ่งปีหลังจากนี้จะมีรายชื่อคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะจัดขึ้นหลายงาน เช่น “ไมโคร จำฝังใจ คอนเสิร์ต” 5-6 ก.ย.นี้ และ “ระริกระรี้ กระดี่คอนเสิร์ต” อัสนี-วสันต์ ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ ถือเป็นความท้าทายและเผชิญหน้ากับความเชื่อมั่นของผู้คนจริงๆ กับชีวิตและความกังวลหลังโควิด-19 ที่กำลังมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตไปตลอดหลังจากนี้