xs
xsm
sm
md
lg

“ผู้ว่าฯ ร.ฟ.ท.” ลุยงานด่วนประมูลทางคู่ 9 สาย 4 แสนล้าน-ลั่นสู้คดี “ค่าโง่โฮปเวลล์” ลุ้นศาลชี้ปมจดทะเบียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)
“นิรุฒ” ลุยงานด่วน ดันประมูลรถไฟทางคู่เฟส 2 และสายใหม่ 9 เส้นทางกว่า 4 แสนล้านในปีนี้ ลั่นเดินหน้าสู้ “คดีค่าโง่โฮปเวลล์” จนถึงที่สุด เผยฟ้องศาลปกครองรอวินิจฉัยประเด็นจดทะเบียนไม่ถูกต้อง ขณะที่เลื่อนเปิดเดินรถสายสีแดง รอ 2 เดือนสรุปผลศึกษาทางเลือกเปรียบเทียบ PPP หรือตั้งบริษัทลูก

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า นโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน ร.ฟ.ท.จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางราง ทำแผนเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่าย และขับเคลื่อนและการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของการรถไฟฯ ในการ “เป็นผู้ให้บริการระบบรางของรัฐที่ดีที่สุดในอาเซียนในปี 2570”

ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่เป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ เนื่องจากสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการเดินรถทั้งโดยสารและสินค้า โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าที่มีสัดส่วนของกำไรค่อนข้างดี ซึ่งเป้าหมายจะเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าจากปัจจุบัน 11 ล้านตัน/ปี เป็น 38 ล้านตัน/ปี ในปี 2570 หรือมีสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางจาก 2% เป็น 5% ของปริมาณการขนส่งทั้งหมดของประเทศ ซึ่งจะทำให้รถบรรทุกหายไปจากถนนจำนวนมาก

ส่วนผู้โดยสาร ปัจจุบันมีจำนวน 35 ล้านคน/ปี แต่เป็นบริการเชิงสังคม (PSO) ซึ่งกำหนดค่าโดยสารได้ต่ำถึง 20 ล้านคน/ปี ส่วนผู้โดยสารเชิงพาณิชย์มีเพียง 10 ล้านคน/ปี แต่เป็นผู้โดยสารส่วนที่สร้างรายได้ถึง 90% จะต้องหาแนวทางในการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารส่วนนี้ ซึ่งต้องมีการปรับรูปแบบการขายตั๋ว การตลาด ความสะดวกทั้งหมดให้เหมาะต่อวิถีชีวิตใหม่ๆ

ขณะนี้โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 7 โครงการ ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวมกว่า 2.73 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมต่อสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แก่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย, เด่นชัย-เชียงใหม่, ขอนแก่น-หนองคาย, ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี, ชุมพร-สุราษฎร์ธานี, สุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติเพื่อเปิดประกวดราคาให้ได้ภายในปี 2563

สำหรับรถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทาง ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติแล้วนั้น ได้แก่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงินรวม 85,345 ล้านบาท ร.ฟ.ท.จะต้องเสนอ ครม.อีกครั้งเพื่อยืนยันการแบ่งประมูลจำนวน 3 สัญญาตามที่ ครม.เคยมีมติไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (ซูเปอร์บอร์ด) เคยมีความเห็นว่าอาจจะแบ่งมากกว่า 3 สัญญาได้
ส่วนสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงิน 66,848.33 ล้านบาทนั้นอยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาร่าง TOR โดยคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะเปิดประมูลได้ภายในปีนี้

@ เลื่อนเปิดสายสีแดง ศึกษาทางเลือก PPP อีก 2 เดือนสรุป

ส่วนโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) นั้น เบื้องต้นจะต้องเลื่อนเปิดเดินรถจากเดือน ม.ค. 2564 ออกไป เนื่องจากสัญญางานสัญญา 3 (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) มีความล่าช้า และอยู่ระหว่างพิจารณาขยายเวลาก่อสร้าง โดยเอกชนเสนอขยาย 512 วัน เบื้องต้นได้อนุมัติไปแล้ว 87 วัน ที่เหลืออยู่ระหว่างพิจารณาเหตุผล

ส่วนการเดินรถสายสีแดง คณะทำงานอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการดำเนินการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) เปรียบเทียบกับรูปแบบเดิม คือจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อเลือกรูปแบบที่มีความเหมาะสม เป็นประโยชน์สูงสุดต่อ ร.ฟ.ท. และประชาชน โดยจะศึกษาเรื่องการบริหารจัดการสถานีกลางบางซื่อเข้าไปด้วย ซึ่งใน 2 เดือนจะมีคำตอบที่ชัดเจน

@ลั่นสู้ “คดีค่าโง่โฮปเวลล์” จนถึงที่สุด

สำหรับกรณีสัญญาสัมปทานรถไฟยกระดับ (โฮปเวลล์) หรือคดีค่าโง่โฮปเวลล์ นั้น นายนิรุฒกล่าวว่า ขณะนี้ ร.ฟ.ท.ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้วินิจฉัยแล้ว โดยรอศาลนัดไต่สวน ซึ่งยืนยันว่า ร.ฟ.ท.จะต่อสู้ถึงที่สุด แม้ว่าก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าการจดทะเบียนบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นไปอย่างถูกต้องก็ตาม

“ร.ฟ.ท.ต้องสู้ตามขั้นตอน รอคำสั่งศาลมีการวินิจฉัยอย่างไร ส่วนการต่อสู้ในประเด็นอื่นๆ ร.ฟ.ท.ได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อหาแนวทาง”

สำหรับโครงการถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ที่จะเริ่มดำเนินการระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กม. วงเงินลงทุน 212,892 ล้านบาท นั้น นายนิรุฒกล่าวว่ายังไม่มีแผนยกเลิก แต่ไม่ใช่เรื่องด่วนในขณะนี้ ส่วนจะเดินหน้าไปอย่างไร เมื่อใด จะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งเห็นว่า ควรจะต้องรอดูความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ให้เดินหน้าไปได้ในระดับหนึ่งก่อน

สำหรับการบริหารที่ดินทั่วประเทศกว่า 240,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งเขตทาง ย่านสถานี ให้เกิดประสิทธิภาพในการเดินรถและการหารายได้ โดยปัจจุบันมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณ 20,000 ไร่ มีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี จะหาแนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันและอนาคต






กำลังโหลดความคิดเห็น