“นิรุฒ” ลุยงานด่วน ดันประมูลรถไฟทางคู่เฟส 2 และสายใหม่ 9 เส้นทางกว่า 4 แสนล.ในปีนี้ ลั่นเดินหน้าสู้ “คดีค่าโง่โฮปเวลล์” จนถึงที่สุด เผยฟ้องศาลปกครองรอวินิจฉัยประเด็นจดทะเบียนไม่ถูกต้อง ขณะที่เลื่อนเปิดเดินรถสายสีแดง
วานนี้ (2 ก.ค.) นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า โยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน รฟท. จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางราง ทำแผนเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่าย และขับเคลื่อนและการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของการรถไฟฯในการ“เป็นผู้ให้บริการระบบรางของรัฐที่ดีที่สุดในอาเซียนในปี 2570”
ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่ เป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ เนื่องจากสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการเดินรถทั้งโดยสารและสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีสัดส่วนของกำไรค่อนข้างมาก ซึ่งเป้าหมายจะเพิ่มปริมาณการขนส่งจากปัจจุบัน 11 ล้านตัน/ปี เป็น38 ล้านตัน/ปี ในปี 2570 หรือมีสัดส่วนการขนส่งสินค้าสินค้าทางราง จาก 2% เป็น 5% ของปริมาณการขนส่งทั้งหมด ส่วนผู้โดยสาร ปัจจุบัน มีจำนวน 35 ล้านคน/ ปี แต่เป็นบริการเชิงสังคม(PSO) ซึ่งกำหนดค่าโดยสารต่ำ 20 ล้านคน/ปี ส่วนผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ มี เพียง 10 ล้านคน/ปี แต่มีสัดส่วนรายได้ถึง 90%
ซึ่งขณะนี้ โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 7 โครงการ ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวมกว่า 2.73 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ต่อสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แก่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย, เด่นชัย-เชียงใหม่, ขอนแก่น-หนองคาย, ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี, ชุมพร-สุราษฎร์ธานี, สุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติเพื่อเปิดประกวดราคาให้ได้ภายในปี 2563
สำหรับ รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทาง ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติแล้วนั้น ได้แก่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงินรวม 85,345 ล้านบาท รฟท.จะต้องเสนอ ครม.อีกครั้งเพื่อยืนยันการแบ่งประมูลจำนวน 3 สัญญา ตามที่ครม.เคยมีมติไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (ซุปเปอร์บอร์ด) เคยมีความเห็นว่าอาจจะแบ่งมากกว่า 3 สัญญาได้
ส่วน สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงิน 66,848.33 ล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาร่างTOR โดยคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะเปิดประมูลได้ภายในปีนี้
เลื่อนเปิดสายสีแดง ศึกษาทางเลือก PPPอีก 2 ด. สรุป
ส่วนโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) นั้น เบื้องต้นจะต้องเลื่อนเปิดเดินรถจากเดือนม.ค. 2564 ออกไป เนื่องจากสัญญา งานสัญญา 3 (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) มีความล่าช้า และอยู่ระหว่างพิจารณาขยายเวลาก่อสร้าง โดยเอกชนเสนอขยาย 512 วัน โดยเบื้องต้น ได้อนุมัติไปแล้ว 87 วัน ที่เหลืออยู่ระหว่างพิจารณาเหตุผล
ส่วนการเดินรถสายสีแดง คณะทำงานอยู่ระหว่างศึกษา แนวทางการดำเนินการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP ) เปรียบเทียบกับรูปแบบเดิม คือจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อเลือกรูปแบบที่มีความเหมาะสม เป็นประโยชน์สูงสุด รฟท.และประชาชน โดยจะศึกษาเรื่องการบริหารจัดการสถานีกลางบางซื่อเข้าไปด้วย ซึ่งใน 2 เดือน จะมีคำตอบที่ชัดเจน
ลั่นสู้”คดีค่าโง่โฮปเวลล์”จนถึงที่สุด
สำหรับกรณีสัญญาสัมปทานรถไฟยกระดับ (โฮปเวลล์) หรือคดีค่าโง่โฮปเวลล์ นั้น นายนิรุฒกล่าวว่า ขณะนี้ รฟท.ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้วินิจฉัยแล้ว โดยรอศาลนัดไต่สวน ซึ่งยืนยันว่ารฟท.จะต่อสู้ถึงที่สุด แม้ว่า ก่อนหน้านี้ทาง กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าการจดทะเบียนบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นไปอย่างถูกต้องก็ตาม
“รฟท.ต้องสู้ตามขั้นตอน รอคำสั่งศาลมีการวินิจอย่างไร ส่วนการต่อสู้ในประเด็นอื่นๆ รฟท.ได้หารือกับทางสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อหาแนวทาง”
ส่วนโครงการถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ ที่จะเริ่มดำเนินการระยะที่ 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กม. วงเงินลงทุน 212,892 ล้านบาท นั้น นายนิรุฒกล่าวว่า ร้วสูง เชียงใหม่ ยังไม่มีแผนยกเลิก แต่ไม่ใช่เรื่องด่วนในขณะนี้นี้ ส่วนจะเดินหน้าไปอย่างไร เมื่อใด จะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งเห็นว่า ควรจะต้องรอดูความคืบหน้าโครงการ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา ให้เดินหน้าไปได้ในระดับหนึ่งก่อน
ทั้งนี้ การบริหารที่ดินทั่วประเทศ กว่า 240,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งเขนทาง ย่านสถานี ให้เกิดประสิทธิภาพในการเดินรถและการหารายได้ โดยปัจจุบันมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณ 20,000 ไร่ มีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี จะหาแนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันและอนาคต
วานนี้ (2 ก.ค.) นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า โยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน รฟท. จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการขนส่งทางราง ทำแผนเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่าย และขับเคลื่อนและการยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของการรถไฟฯในการ“เป็นผู้ให้บริการระบบรางของรัฐที่ดีที่สุดในอาเซียนในปี 2570”
ทั้งนี้ โครงการรถไฟทางคู่ เป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ เนื่องจากสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการเดินรถทั้งโดยสารและสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีสัดส่วนของกำไรค่อนข้างมาก ซึ่งเป้าหมายจะเพิ่มปริมาณการขนส่งจากปัจจุบัน 11 ล้านตัน/ปี เป็น38 ล้านตัน/ปี ในปี 2570 หรือมีสัดส่วนการขนส่งสินค้าสินค้าทางราง จาก 2% เป็น 5% ของปริมาณการขนส่งทั้งหมด ส่วนผู้โดยสาร ปัจจุบัน มีจำนวน 35 ล้านคน/ ปี แต่เป็นบริการเชิงสังคม(PSO) ซึ่งกำหนดค่าโดยสารต่ำ 20 ล้านคน/ปี ส่วนผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ มี เพียง 10 ล้านคน/ปี แต่มีสัดส่วนรายได้ถึง 90%
ซึ่งขณะนี้ โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 7 โครงการ ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร วงเงินลงทุนรวมกว่า 2.73 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างการชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม ต่อสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้แก่ ปากน้ำโพ-เด่นชัย, เด่นชัย-เชียงใหม่, ขอนแก่น-หนองคาย, ชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี, ชุมพร-สุราษฎร์ธานี, สุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา และชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติเพื่อเปิดประกวดราคาให้ได้ภายในปี 2563
สำหรับ รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทาง ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติแล้วนั้น ได้แก่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 323 กม. วงเงินรวม 85,345 ล้านบาท รฟท.จะต้องเสนอ ครม.อีกครั้งเพื่อยืนยันการแบ่งประมูลจำนวน 3 สัญญา ตามที่ครม.เคยมีมติไว้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (ซุปเปอร์บอร์ด) เคยมีความเห็นว่าอาจจะแบ่งมากกว่า 3 สัญญาได้
ส่วน สายบ้านไผ่ - มหาสารคาม - ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 355 กม. วงเงิน 66,848.33 ล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาร่างTOR โดยคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะเปิดประมูลได้ภายในปีนี้
เลื่อนเปิดสายสีแดง ศึกษาทางเลือก PPPอีก 2 ด. สรุป
ส่วนโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) นั้น เบื้องต้นจะต้องเลื่อนเปิดเดินรถจากเดือนม.ค. 2564 ออกไป เนื่องจากสัญญา งานสัญญา 3 (งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้า) มีความล่าช้า และอยู่ระหว่างพิจารณาขยายเวลาก่อสร้าง โดยเอกชนเสนอขยาย 512 วัน โดยเบื้องต้น ได้อนุมัติไปแล้ว 87 วัน ที่เหลืออยู่ระหว่างพิจารณาเหตุผล
ส่วนการเดินรถสายสีแดง คณะทำงานอยู่ระหว่างศึกษา แนวทางการดำเนินการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP ) เปรียบเทียบกับรูปแบบเดิม คือจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อเลือกรูปแบบที่มีความเหมาะสม เป็นประโยชน์สูงสุด รฟท.และประชาชน โดยจะศึกษาเรื่องการบริหารจัดการสถานีกลางบางซื่อเข้าไปด้วย ซึ่งใน 2 เดือน จะมีคำตอบที่ชัดเจน
ลั่นสู้”คดีค่าโง่โฮปเวลล์”จนถึงที่สุด
สำหรับกรณีสัญญาสัมปทานรถไฟยกระดับ (โฮปเวลล์) หรือคดีค่าโง่โฮปเวลล์ นั้น นายนิรุฒกล่าวว่า ขณะนี้ รฟท.ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้วินิจฉัยแล้ว โดยรอศาลนัดไต่สวน ซึ่งยืนยันว่ารฟท.จะต่อสู้ถึงที่สุด แม้ว่า ก่อนหน้านี้ทาง กระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าการจดทะเบียนบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นไปอย่างถูกต้องก็ตาม
“รฟท.ต้องสู้ตามขั้นตอน รอคำสั่งศาลมีการวินิจอย่างไร ส่วนการต่อสู้ในประเด็นอื่นๆ รฟท.ได้หารือกับทางสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อหาแนวทาง”
ส่วนโครงการถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพ-เชียงใหม่ ที่จะเริ่มดำเนินการระยะที่ 1 กรุงเทพ-พิษณุโลก ระยะทาง 380 กม. วงเงินลงทุน 212,892 ล้านบาท นั้น นายนิรุฒกล่าวว่า ร้วสูง เชียงใหม่ ยังไม่มีแผนยกเลิก แต่ไม่ใช่เรื่องด่วนในขณะนี้นี้ ส่วนจะเดินหน้าไปอย่างไร เมื่อใด จะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งเห็นว่า ควรจะต้องรอดูความคืบหน้าโครงการ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพ-นครราชสีมา ให้เดินหน้าไปได้ในระดับหนึ่งก่อน
ทั้งนี้ การบริหารที่ดินทั่วประเทศ กว่า 240,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งเขนทาง ย่านสถานี ให้เกิดประสิทธิภาพในการเดินรถและการหารายได้ โดยปัจจุบันมีพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณ 20,000 ไร่ มีรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี จะหาแนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทในปัจจุบันและอนาคต