สกพอ.-BGRIM เซ็นสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นป้อนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 3.8 พันล้านบาท เล็งใช้ LNG นำเข้าป้อนโรงไฟฟ้าดังกล่าว จ่อยื่น กกพ.ขอเพิ่มโควตาการนำเข้า LNG จากเดิม 6.5 แสนตัน/ปี
วันนี้ (26 มิ.ย.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น ในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ได้มีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลักของอีอีซี เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ เชื่อมสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ 3 สนามบิน สามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation รวมทั้งเป็น “มหานครการบินภาคตะวันออก” ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
โดยโครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็น เป็นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก พร้อมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในพื้นที่สนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถรองรับการขยายตัวของผู้โดยสาร ธุรกิจการขนส่งสินค้า ธุรกิจอุตสาหกรรมการบิน ศูนย์กลางธุรกิจ E-Commerce และศูนย์เทคโนโลยีด้านอากาศยาน กองทัพเรือในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกับ สกพอ.ได้คัดเลือกบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เช่าที่ราชพัสดุ พื้นที่ 100 ไร่ เพื่อดำเนินการด้านสาธารณูปโภค โครงการงานระบบไฟฟ้าและน้ำเย็น เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา
โดยเฟสแรกจะผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) ระหว่างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) โดยใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (PV Solar Farm) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดตามแนวคิดหลักของอีอีซี มีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 95 เมกะวัตต์ พร้อมด้วยระบบกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ (Energy Storage System-ESS) ขนาด 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง ใช้เงินลงทุน 3.8พันล้านบาท และพร้อมจะจัดหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมเมื่อสนามบินมีการพัฒนาสูงสุดและมีความต้องการพลังงานไฟฟ้ามากกว่า 95 เมกะวัตต์ และเสริมความมั่นคงด้วยการสำรองไฟฟ้า 100% โดยความร้อนที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าได้นำมาเปลี่ยนเป็นระบบน้ำเย็นสำหรับระบบปรับอากาศสนามบิน นับเป็นการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Power Plant) สามารถเลือกใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าหรือมีราคาประหยัดเหมาะสม เพื่อพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพต่อเนื่อง มีพลังงานสำรอง ลดความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำเป็นต้องปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่ใช้บริการภายในสนามบินอู่ตะเภาอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ บี.กริม กล่าวว่า บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการก่อสร้าง พัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้าให้กับพื้นที่อุตสาหกรรมชั้นนำในเขตจังหวัดพื้นที่พัฒนาของอีอีซีตั้งแต่ในปี 2538 ดังนั้น การที่ บี.กริม ได้รับคัดเลือกโดยกองทัพเรือ และ สกพอ.ให้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการผลิตไฟฟ้าและน้ำเย็นสำหรับสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกในครั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถใช้ความพร้อมและประสบการณ์ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ให้กับสนามบินอู่ตะเภาและพื้นที่พัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเป็นการรองรับความต้องการในการใช้กระแสไฟฟ้าที่มีคุณภาพที่เพิ่มขึ้นต่อไปภายในเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษแห่งนี้
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีผลตอบแทน 12% ได้สิทธิเช่าที่ดินดังกล่าว 25 ปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ตั้งแต่นี้ไป โดยบริษัทฯได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรชั้นนำระดับโลก นำโดย China Energy Engineering Corporation หรือ Energy China ซึ่งเป็นบรรษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีโรงไฟฟ้า Hybrid และ Korea Electric Power Corporation หรือ KEPCO บรรษัทรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานจากสาธารณรัฐเกาหลีให้การสนับสนุนเทคโนโลยีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน - ESS และระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ - EMS พร้อมทั้งมี Siemens จากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สนับสนุนเทคโนโลยี Gas & Steam Turbine ทั้งหมดนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า BGRIM จะสามารถสร้างระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่มั่นคง ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บี.กริม เพาเวอร์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถดำเนินงานตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาได้ทันที โดยโรงไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid) สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกนี้จะพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) อย่างสมบูรณ์ในปี 2567 และถือเป็นโรงไฟฟ้าไฮบริดแบบผสมผสานเทคโนโลยีทั้ง 3 ระบบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่จะสามารถนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด มีประสิทธิภาพด้านการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพมากที่สุด ทั้งยังปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน
โดยโครงการดังกล่าวจะใช้ก๊าซฯราว 1 แสนตัน/ปี ซึ่งบริษัทฯ มีแผนที่จะจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้วว่าดังนั้นคงต้องยื่นสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อขอเพิ่มปริมาณการนำเข้า LNG ที่ได้รับอนุมัติให้นำเข้าได้เพียง 6.5 แสนตัน/ปี ทำให้ต้นทุนค่าก๊าซฯ ต่ำลง
นอกจากนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา) ได้ติดต่อบริษัทเพื่อซื้อไฟฟ้าป้อนในสถานีอย่างน้อย 20 เมกะวัตต์ กองทัพเรืออีก 60 เมกะวัตต์ และสนามบินอู่ตะเภา 40 เมกะวัตต์ ทำให้โครงการดังกล่าวมีลูกค้าที่จะรับซื้อไฟฟ้าแน่นอน
นางปรียนาถกล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่สนใจเสนอขาย LNG ระยะยาวมายื่นข้อเสนอให้พิจารณากว่า 20 บริษัท คาดว่าจะร่วมกับที่ปรึกษาเพื่อตัดสินใจคัดเลือกบริษัทที่ BGRIM จะทำสัญญาซื้อ LNG ระยะยาว 10 ปีขึ้นไปภายในปีนี้ เชื่อว่าแนวโน้มราคา LNG ยังไม่สูงนักเนื่องจากมีการค้นพบแหล่งก๊าซฯ เพิ่มเติม ดังนั้นยังเป็นตลาดของผู้ซื้อต่อไปอีก 2-3 ปีอยู่
ทั้งนี้ บี.กริมฯ ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) เป็นปริมาณ 6.5 แสนตันต่อปี เพื่อนำมาใช้ป้อนโรงไฟฟ้าเอสพีพี รีเพลสเม้นท์ ของบริษัทฯ