“ศักดิ์สยาม” ยันไทยเดินหน้าลงทุนโครงการใน “อีอีซี” เรียกเชื่อมั่นนักลงทุนญี่ปุ่น เซ็น “อู่ตะเภาเมืองการบิน” ผลตอบแทนรัฐกว่า 3 แสนล้าน ส่วน ทลฉ.เฟส 3 คาดต่อรองราคาเอกชนจบใน 2 เดือน ย้ำรัฐคุมโควิด-19 เป็นระบบ เตรียมคลายเดินทางระหว่างประเทศ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังนายอัตสึชิ ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (JETRO Bangkok) และนายโชอิจิ โอกิวารา ในฐานะประธานผู้แทนหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) เข้าพบว่า ได้หารือถึงการลงทุนของนักธุรกิจญี่ปุ่นในประเทศไทย และได้รายงานผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยส่งแบบสอบถามไปยังบริษัทสมาชิก JCCB เพื่อสอบถามในประเด็นต่างๆ อย่างครอบคลุม ในประเด็นปัญหา อุปสรรค การดำเนินงานโครงการต่างๆ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
ทั้งนี้ จากการดำเนินงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา COVID-19 อย่างเป็นระบบ การติดเชื้อภายในประเทศไม่มีมากกว่า 3 สัปดาห์ ภาพรวมได้กลับสู่ภาวะเกือบเป็นปกติ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจญี่ปุ่นที่มีต่อประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจญี่ปุ่นได้สอบถามถึงการดำเนินในด้านการขนส่งของกระทรวงคมนาคม ขณะนี้ได้ยกเลิกเคอร์ฟิวทำให้การเดินทางภายในประเทศการขนส่งเป็นปกติ ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศทั้งทางบก เรือ และอากาศ จะใช้มาตรการด้านสาธารณสุขเป็นหลักในการพิจารณา เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดใหม่ ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น ซึ่ง ได้ขอให้ JETRO Bangkok และ JCCB ประสานงานกับทางรัฐบาลญี่ปุ่นในการตรวจหาเชื้อผู้โดยสารที่จะเดินทางมายังประเทศไทย สำหรับภาคธุรกิจประเทศต่างๆ ที่ต้องการเดินทางมาลงทุนหรือบริหารงานภายในประเทศสามารถเดินทางมาได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมของกระทรวงสาธารณสุขกำหนด สำหรับการขนส่งทางน้ำในการเปลี่ยนบุคลากรของญี่ปุ่นที่จะขึ้นเรือ สามารถดำเนินการได้แต่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมของกระทรวงสาธารณสุขกำหนดเช่นกัน
ยันเดินหน้าอีอีซี “เมืองการบิน-ทลฉ.เฟส 3 “ เรียกเชื่อมั่นนักลงทุนญี่ปุ่น
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ได้ยืนยันถึงการพัฒนาโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และการพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมโยงพื้นที่อีอีซี ดำเนินการเป็นรูปธรรมแล้ว คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้ดำเนินการลงนามในสัญญาและเริ่มส่งมอบพื้นที่แล้วคาดว่าดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2568 โครงการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา เมืองการบินซึ่งได้ลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เนื่องจากเอกชนเสนอผลตอบแทนให้รัฐถึง 3 แสนล้านบาท
ส่วนโครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 อยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคากับเอกชน เนื่องจากเอกชนที่ชนะการประมูล ยังเสนอผลตอบแทนให้แก่รัฐต่ำกว่าราคากลางที่รัฐกำหนด คาดว่าจะสรุปได้ภายใน 2 เดือนนี้ เชื่อว่าจะสามารถต่อรองได้ผลตอบแทนสูงกว่าราคากลาง
สำหรับโครงการทางบกนั้น ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย ให้ต่อขยายเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) M7 ช่วงพัทยา-มาบตาพุด เชื่อมไปถึงสนามบินอู่ตะเภา ระยะทางประมาณ 7 กม. ขณะนี้กรมทางหลวง (ทล.) ได้เสนอของบประมาณจากคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ซึ่งจะสามารถดำเนินการ เพื่อรองรับการบริการโลจิสติกส์ทั้งทางบก ทางราง ทางอากาศ และทางน้ำ ได้ทันในปี 2568
และนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ศึกษาการออกกฎหมายเพิ่มเติมอีก 4 เขตเศรษฐกิจรูปแบบเดียวกับอีอีซี ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ ซึ่งในพื้นที่ภาคใต้ ขณะนี้ได้มีการศึกษาโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งอันดามันกับฝั่งอ่าวไทย รองรับเรือกินน้ำลึกมากกว่า 15 เมตร และมีระบบออโตเมติกในการขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ เชื่อมต่อระหว่างท่าเรือ 2 ฝั่งโดยรถไฟทางคู่ และใช้เวลาในการขนส่งเชื่อมแลนด์บริดจ์ไม่เกิน 40 นาที ซึ่งลดการเดินทางโดยเรือ อ้อมแหลมมลายูได้กว่า 2 วันครึ่ง เป็นการสร้างศักยภาพการเดินทางขนส่งสินค้าและน้ำ