กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยบริษัทตั้งใหม่ พ.ค. 63 มีจำนวน 4,195 ราย ลด 29% เหตุได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำผู้ประกอบการชะลอการทำธุรกิจใหม่ แต่พบธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้ามาแรง ตั้งใหม่เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทเลิกกิจการมีจำนวน 905 ราย ลดลง 20% คาดทั้งปียอดตั้งใหม่เหลือ 65,000-70,000 ราย
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า การจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือน พ.ค. 2563 มีผู้ประกอบการยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศจำนวน 4,195 ราย ลดลง 29% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. 2562 ที่มีจำนวน 5,942 ราย โดยธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร มีทุนจดทะเบียนมูลค่า 9,672 ล้านบาท ลดลง 73% ส่วนยอดรวม 5 เดือนของปี 2563 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวน 27,606 ราย ลดลง 15% ทุนจดทะเบียน 89,814 ล้านบาท ลดลง 12%
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 905 ราย ลดลง 20% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค. 2562 ที่มีจำนวน 1,130 ราย มีธุรกิจเลิก 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ และมีทุนเลิกมูลค่า 2,975 ล้านบาท ลดลง 16% โดยยอดรวม 5 เดือนเลิกกิจการจำนวน 4,891 ราย ลดลง 10% ทุนจดทะเบียน 21,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%
รายงานข่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแจ้งว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในเดือนพ.ค. 2563 ลดลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว และมีการล็อกดาวน์ ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการตั้งธุรกิจใหม่ และรอดูสถานการณ์ แต่ก็ยังมีบางธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนส่งที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในสถานการณ์โควิด-19 จึงมีการขยายตัวดีขึ้น และมาอยู่ในอันดับที่ 3 และทำให้ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร ที่เป็นอันดับ 3 เดิมตกไป เพราะคนชะลอการลงทุนทำธุรกิจ
ส่วนประมาณการจดทะเบียนตั้งใหม่ปี 2563 คาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 65,000-70,000 ราย จากเดิม 70,000-75,000 ราย โดยธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบและมีการจดทะเบียนลดลง ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหาร โดยคาดว่าการจดทะเบียนตั้งใหม่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากที่มีการผ่อนปรนการทำธุรกิจแบบเต็มรูปแบบ และโควิด-19 ไม่มีการกลับมาระบาดรอบ 2 จนรัฐบาลต้องคุมเข้มอีก