กกร.กังวลกำลังซื้อภาคครัวเรือนอ่อนแอ ศก.โลกยังถดถอย หวั่นกระทบการว่างงาน แนะรัฐเร่งขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูฯ 4 แสนล้านบาทโดยเร็วเพื่ออัดเม็ดเงินลง ศก.ฐานราก พร้อมหนุนไทยร่วมเจรจา CPTPP เตรียมจัดสัมมนาระดมความเห็นทุกส่วน
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร.ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2563 คงเดิมไว้ที่ -5% ถึง -3% การส่งออก -10% ถึง -5% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ -1.5% ถึง 0% เนื่องจากเครื่องบ่งชี้ทางเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วแต่กำลังซื้อครัวเรือนอ่อนแอ เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะถดถอย และยังมีความเสี่ยงที่สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ จะปะทุขึ้นอีกรอบ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติเหมือนก่อนโควิด-19 กกร.จึงยังห่วงการว่างงานในประเทศ ดังนั้นภาครัฐต้องเร่งขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการที่ช่วยเพิ่มเม็ดเงินเศรษฐกิจฐานราก
“รัฐต้องเร่งขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูฯ รวมถึงการบริหารจัดการให้เงื่อนไขการพิจารณาวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 5 แสนล้านบาทมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว คล่องตัวมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เช่น อาจให้บรรษัทค้ำประกันสินเชื่อขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มเติม รวมทั้งเสนอให้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) เป็นเวทีนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งเพื่อให้เงินนั้นถึงฐานรากอย่างรวดเร็ว” นายปรีดีกล่าว
นายกลินทร์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กกร.เห็นควรสนับสนุนให้ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจากับกลุ่มประเทศภายใต้ข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ในเดือน ส.ค. 2563 เนื่องจากการเข้าร่วมเจรจาทำให้เห็นถึงผลดีหรือผลเสียต่อการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีตามข้อตกลง CPTPP ซึ่งกระบวนการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีนั้นมีขั้นตอนต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี โดยเรื่องนี้ กกร.เตรียมจะจัดสัมมนาหัวข้อดังกล่าวเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นโดยเฉพาะกลุ่มที่กังวลที่ไทยจะเสียเปรียบ โดยเห็นว่าการเข้าร่วมเจรจาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเพื่อให้ประเทศไทยทราบถึงข้อตกลง และเป็นประโยชน์สำหรับการปรับตัวของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ในเวทีโลก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลเตรียมคลายล็อกดาวน์เฟส 4 รวมถึงการทดลองยกเลิกเคอร์ฟิว 15 วันทั่วประเทศแต่ยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้ธุรกิจเปิดดำเนินงานได้มากขึ้น ปัญหาแรงงานที่ว่างงานจะบรรเทาลง แต่สิ่งสำคัญคือระยะต่อไปรัฐต้องเร่งขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูฯ วงเงิน 4 แสนล้านบาทเร่งด่วน เพราะมาตรการต่างๆ ที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกงานช่วงที่ผ่านมาได้หมดลงแล้ว
“การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีนั้น สิ่งสำคัญคือทีมเศรษฐกิจจะต้องเดินหน้าแผนฟื้นฟูฯ ให้เม็ดเงินต่างๆ ของรัฐสสามารถขับเคลื่อนให้ภาคสังคมทุกส่วนเติบโตก้าวไปข้างหน้าได้เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการและติดตามอยู่ โดยการทำงานอยากเห็นการร่วมมือผ่านเวที กรอ.เพื่อให้เกิประสิทธิภาพสูงสุด” นายสุพันธุ์กล่าว