ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไตรมาสแรกปี 63 เจอพิษโควิด-19 ทำยอดได้มูลค่า 1,563 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 20.18% เหตุหลายประเทศล็อกดาวน์ ชะลอนำเข้า และคนลดการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย แต่รวมทองคำยอดพุ่ง 5,442.28 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่ม 71.85% จากการส่งออกไปเก็งกำไรราคา จับตาไตรมาส 2 ฟื้น หลังหลายชาติเริ่มคลายล็อกดาวน์
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) มีมูลค่า 5,442.28 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 71.85% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 165,058.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.17% แต่ถ้าหักทองคำ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความผันผวนออก การส่งออกมีมูลค่า 1,563 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 20.18% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 47,357.71 ล้านบาท ลดลง 23.38% เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ลุกลามไปกว่า 210 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้หลายประเทศล็อกดาวน์ ทำให้การขนส่งระหว่างประเทศและในประเทศทำได้ไม่สะดวก ขณะที่ความต้องการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง ทำให้มีการชะลอการสั่งซื้อ แต่บางประเทศที่ยังไม่ได้รับผลกระทบก็เร่งการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หากดูเฉพาะทองคำ พบว่ามีการส่งออกสูงถึง 3,879.29 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 220.91% จากการส่งออกไปเก็งกำไรส่วนต่างของราคา เนื่องจากราคายังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และผลจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนหันมาซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในฐานะทรัพย์สินปลอดภัย
นายวีรศักดิ์กล่าวว่า การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับยังคงมีความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19 โดยสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรปยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ในส่วนของจีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ที่สามารถควบคุมการระบาดได้ และเริ่มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ น่าจะเป็นสัญญาณดีต่อการส่งออกของไทยในไตรมาสถัดไปที่น่าจะเพิ่มขึ้น แต่ยังต้องติดตามใกล้ชิดเพราะการแพร่ระบาดยังไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผลจากการแพร่ระบาดทำให้เกิดการใช้ชีวิตวิถีใหม่ โดยคนมีการติดต่อกันน้อยลง ทำให้การค้าออนไลน์ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยจะต้องมีการปรับตัว และหันมาใช้ช่องทางนี้ในการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น การนัดหมายล่วงหน้าแล้วให้ลูกค้าเข้ามาดูสินค้าที่ร้าน หรือใช้วิธีไลฟ์สดให้ลูกค้าเห็นของจริงเพื่อเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้า รวมทั้งใช้สื่อออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์สินค้า เช่น Facebook, Instagram หรือ YouTube เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภค