“พาณิชย์” เผยตามจับกุมผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือแพงเกินสมควรได้อีก 13 ราย เป็นกรุงเทพฯ 8 ราย ต่างจังหวัด 5 ราย เผยได้ทำการล่อซื้อและจับกุมทั้งการขายผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก ร้านค้าทั่วไป และทางโทรศัพท์ ทำยอดจับกุมรวมเพิ่มเป็น 298 ราย
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และหัวหน้าฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส.) เปิดเผยว่า ณ วันที่ 10 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์เพิ่มอีก 13 ราย โดยเป็นการจับกุมในเขตกรุงเทพฯ 8 ราย และต่างจังหวัด 5 ราย ทำให้ยอดจับกุมรวมเพิ่มขึ้นเป็น 298 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 148 ราย และต่างจังหวัด 150 ราย
โดยในส่วนของกรุงเทพฯ 8 ราย แบ่งเป็นผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางออนไลน์ จำนวน 3 ราย เป็นผู้จำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย โดยทำการล่อซื้อและจับกุม พบจำหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 675บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.50 บาท รวม 10,800 ชิ้น แจ้งข้อหากระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิตต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ตามมาตรา 25 (5) จับกุมผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก 1 ราย จำหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้นในราคากล่องละ 850 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 17 บาท รวม 11,745 ชิ้น กระทำความผิดข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาควบคุมและราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29 อีก 1 ราย ทำการล่อซื้อผ่านทางโทรศัพท์ พบจำหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 680 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60 บาท แจ้งข้อหาจำหน่ายราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 29 ที่เหลืออีก 5 ราย เป็นร้านค้าทั่วไป โดยทำการล่อซื้อและจับกุมร้านค้าจำหน่ายหน้ากากอนามัยนำเข้าจากประเทศเวียดนามและจีน 1 ราย จำหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุกล่องละ 50 ชิ้น จำนวน 41 กล่อง รวม 2,050 ชิ้น กระทำความผิดข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิตตามมาตรา 25 (5) และเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ต่อ กกร. ตามมาตรา 26
นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมร้านค้าทั่วไปจำหน่ายเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ พบการกระทำความผิดในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 จำนวน 3 ราย และอีก 1 ราย พบจำหน่ายเจลล้างมือและแอลกอฮอล์ แพงเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 (1)
ส่วนในต่างจังหวัด 5 ราย ได้แก่ จังหวัดปทุมธานี 1 ราย เป็นร้านค้าออนไลน์ โดยเจ้าหน้าที่ทำการล่อซื้อและจับกุม พบจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคากล่องละ 680 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60 บาท รวม 2,500 ชิ้น จังหวัดนครราชสีมา 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจำหน่ายหน้ากากอนามัย 10 ชิ้นต่อแพก ในราคา 200 บาท ทั้ง 2 ราย กระทำความผิดข้อหาจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 จังหวัดสมุทรสาคร 1 ราย เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบบริษัทผลิตเจลล้างมือ พบการกระทำความผิดข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา 25 (5) จังหวัดเชียงใหม่ 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไป เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมและยึดของกลางเป็นหน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยสูงเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 และจังหวัดพิษณุโลก 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาชิ้นละ 15.00 บาท แจ้งข้อหากระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร และไม่ปิดป้ายแสดงราคาตามมาตรา 28 และมาตรา 29
สำหรับโทษที่ผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26 ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจำหน่าย มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควร มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าตรวจสอบและจับกุมผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ และสินค้าอื่นๆ ที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หากผู้บริโภคพบเห็นการกักตุนหรือค้ากำไรเกินควร ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิดทันที” นายสุพพัตกล่าว