สัญญาทางด่วนไร้รอยต่อ “กทพ.-BEM” ยื่นถอนฟ้องครบ 17 คดี “สุรงค์” เตรียมหารือ ลุยวางแผนแก้จราจรทั้งโครงข่าย จ่อถก “คมนาคม” ดันทางด่วนขั้น 3 ทั้งระบบ N2 และทดแทน N1
นายสุรงค์ บูลกุล ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กทพ.และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้ดำเนินการยื่นถอนฟ้องคดีที่มีต่อกันทั้ง 17 คดีหมดแล้ว และทราบว่าศาลได้ทยอยมีคำสั่งถอนคดีแล้ว แต่อาจจะยังไม่ครบทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะเรียบร้อยภายใน 1-2 วันนี้แน่นอน
ส่วนกรณีที่สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ได้สิ้นสุดในวันที่ 29 ก.พ. 2563 นั้น กทพ.และ BEM ได้มีการเจรจาตกลงเงื่อนไขการดำเนินการในช่วงที่กระบวนการถอนฟ้องคดียังไม่สมบูรณ์ไว้แล้ว เพื่อให้การบริการต่างๆ ของทางด่วนยังเป็นไปตามปกติทุกระบบ
“การถอนฟ้องอยู่ในกระบวนการแล้ว แม้จะยังไม่สมบูรณ์ ทันกับที่สัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A B และ C สิ้นสุดวันที่ 29 ก.พ. 63 ก็ตาม แต่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเงื่อนไขไว้แล้ว จึงไม่มีปัญหาต่อการบริการทั้งระบบหน้าบ้านและหลังบ้าน ขณะที่สัญญา รวมถึงทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (C บวก) ยังมีสัญญาเดิมใช้อยู่ จนกว่าสัญญาใหม่จะมีผลบังคับใช้”
นายสุรงค์กล่าวว่า สำหรับ กทพ.นั้นมีหน้าที่ในการพัฒนาระบบทางด่วน และแก้ปัญหาจราจร ซึ่งก่อนหน้านี้ บอร์ด กทพ.ยังได้อนุมัติโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมจากเกษตร ต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอก กทม.ด้านตะวันออก ระยะทาง 10.5 กม. วงเงิน 15,200 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์) หรือ TFF แล้ว ซึ่งวันนี้ (2 มี.ค.) จะหารือร่วมกับฝ่ายแผนกระทรวงคมนาคมเพื่อผลักดันและหาแนวทางในการแก้ปัญหาจราจรทั้งระบบจากด้านตะวันออก-ตะวันตก (E-W corridor)
ทั้งนี้ เนื่องจากแนวทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ช่วงทดแทนตอน N1 เพื่อลดผลกระทบ กรณีที่ ม.เกษตรศาสตร์คัดค้านแนวเส้นทางใหม่มีปัญหา ต้องหาทางออกร่วมกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ตะวันออก-ตะวันตกเชื่อมกันได้ ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาบริเวณเกษตรนั้นมีทั้งรูปแบบอุโมงค์ และการสร้างแบบระบบปิดกันเสียง หากทำได้บริเวณนั้นจะเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สำคัญเพราะมีรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สีเขียว สีแดง และสีน้ำตาล มีระบบทางด่วนที่เชื่อมจราจรด้านตะวันออก-ตะวันตกของ กทม.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
