xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC คาดไวรัสโควิด-19 กระทบสั้น คงเป้าปริมาณขายปีนี้โต 10%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พีทีที โกลบอล เคมิคอล คงเป้าปริมาณการขายปีนี้โต 10% โดยค่าการกลั่นและมาร์จิ้นปิโตรเคมีขึ้นกว่าปี 62 แม้ว่าไตรมาส 1 นี้จะได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ก็ตาม พร้อมโยกตลาดส่งออกพลาสติกจากจีนไปยังอาเซียน มั่นใจกลางปีนี้ตัดสินใจลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ




นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทยังคงเป้าหมายปริมาณการขายผลิตภัณฑ์พลาสติกเติบโต 10% แม้ว่ามีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในช่วงนี้ ทำให้ค่าการกลั่น (GRM) และมาร์จิ้นปิโตรเคมีปรับลดลง แต่เชื่อว่าสถานการณ์โรคไวรัสดังกล่าวจะคลี่คลายได้ในช่วงไตรมาส 2 นี้ ก็จะทำให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ โดยบริษัทคาดการณ์ว่า GRM ปีนี้จะดีขึ้นกว่าปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 4-5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อนอยู่ที่ 3.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และมาร์จิ้นปิโตรเคมีดีขึ้น โดยมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) เม็ดพลาสติก HDPE น่าจะอยู่ที่ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 4/2562

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับแผนการทำตลาดส่งออกใหม่หลังจากเกิดการระบาดโรคไวรัสโควิด-19 ในจีนทำให้ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกชะงักลง จากเดิมบริษัททำตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกคิดเป็น 50% ของกำลังการผลิต โดยกึ่งหนึ่งส่งออกไปจีนหรือคิดเป็น 25% ของกำลังการผลิต หลังจากเกิดไวรัสโควิด-19 ก็ได้หันไปทำตลาดส่งออกที่อื่นแทน ทำให้การส่งออกไปจีนลดลงจากเดิม 1-2% เหลืออยู่เพียง 23% แต่หันไปทำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และแอฟริกา เป็นต้น

ขณะเดียวกัน บริษัทหันไปเจาะตลาดขายเม็ดพลาสติกโดยตรงให้โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกในเวียดนามแทนการขายผ่านเทรดเดอร์เพื่อรองรับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี

ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทฯ มี 3โครงการที่จะเปิดดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 3-4 นี้ ได้แก่ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต Olefins Reconfiguration Project (ORP) แล้วเสร็จในไตรมาส 4/62, โครงการโพรพิลีนออกไซด์ (PO) และโครงการโพลีออลส์ (Polyols) เพื่อผลิต PO 2 แสนตัน/ปี โพลีออลส์ 1.3 แสนตัน/ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 นี้ ส่วนโครงการร่วมลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ได้แก่ PA9T 1.3 หมื่นตัน/ปี และ HSBC 1.6 หมื่นตัน/ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 สอดรับกับนโยบายบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายเกรด

นายคงกระพันกล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ มีแผนลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ต่อเนื่องหลังจากช่วง 2-3 ปีได้ลงทุนไปแล้ว 1 แสนล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติมที่อยู่ระหว่างการศึกษาอีก 1 แสนล้านบาท คาดว่าจะมีการลงทุนเร็วๆ นี้ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยการลงทุนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 5 ปีนี้ (2563-67) ราว 2 แสนล้านบาท โดยปีนี้จะใช้เงินลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการในประเทศ โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เป็นต้น รวมทั้งมีโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร (MAX) ให้ครอบคลุมการเชื่อมโยงซัปพลายเชนกว่า 20 โรงงานในเครือฯ จากเดิมที่ดำเนินการแต่ละโรงงาน โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายบริหารจัดการในปีนี้ลง 5% จากปีก่อนที่ลดลง 10%

ส่วนความคืบหน้าการร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในกลางปีนี้ โครงการดังกล่าวเป็นเป้าหมายเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 ของบริษัทฯ ซึ่งมีความได้เปรียบการแข่งขันด้านวัตถุดิบและตลาด รวมทั้งยังใช้เป็นฐานในการซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายไม่จำเป็นต้องอยู่ในสหรัฐฯ รวมทั้งการลงทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุน (CVC) โดยก่อนหน้านี้บริษัทมีการลงทุนในสหรัฐฯ แล้ว 600-700 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายคงกระพันกล่าวว่า บริษัทมีมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 ดังนี้ หากมีพนักงานใดต้องเดินทางไปต่างประเทศในกลุ่มประเทศเสี่ยง จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูง และหากมีพนักงานมีอาการเสี่ยงก็จะต้องเฝ้าระวังและให้ทำงานที่บ้าน (Work at Home) 14 วัน รวมไปถึงคู่ค้าบริษัทด้วย ถ้ามีการเดินทางไปประเทศเสี่ยงก็จะไม่ให้เข้าออฟฟิศ แต่จะติดต่อผ่านการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขาย 4.09 แสนล้านบาท ลดลง 21% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1.16 หมื่นล้านบาท ลดลง 71%


กำลังโหลดความคิดเห็น