xs
xsm
sm
md
lg

PTTGCตั้งเป้าปีรายได้หน้าโต15% เตรียมเงิน2แสนล.ใน5ปีลุยตั้งรง.ใหม่-ซื้อกิจการ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พีทีที โกลบอล เคมิคอล”ตั้งเป้ารายได้ปี63โตขึ้น 15% หลังมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นและมาร์จินธุรกิจการกลั่นและอะโรเมติกส์ดีขึ้น เตรียมเงิน1.5-2 แสนล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้าเพื่อใช้ลงทุนโครงการใหม่และเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายปี 2573 มีEBITDA จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 30% ลั่นกลางปี63สรุปโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTTGC) เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตขึ้น 15% มาจากปริมาณการผลิตที่เติบโตขึ้น 11% การปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์และมาร์จิน 4%ส่งผลให้มีกำไรดีขึ้นด้วย จาก9 เดือนแรกปี62 ที่กำไรลดลง69% โดยคาดการณ์ธุรกิจการกลั่นในปีหน้าจะดีขึ้น มีค่าการกลั่น(GRM)อยู่ที่ 7เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดีขึ้นกว่าปีนี้ที่เฉลี่ย 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมาตรการบังคับใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำในเรือเดินสมุทร (IMO)มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.63 รวมทั้งทิศทางการเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้ส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์กับวัตถุดิบ(สเปรด)ปรับขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ที่ 140เหรียญสหรัฐ/ตันมาอยู่ที่ 180 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคาโพลีเอทิลีนจะขยับสูงขึ้นเฉลี่ย 1,030 เหรียญสหรัฐ/ตันดีขึ้นเล็กน้อยจากปีนี้ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน

โดยในปี 2563 มีโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ (ORP: Olefins Reconfiguration Project) โครงการผลิตสารโพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide Project) และโครงการผลิตสารโพลีออลส์ (Polyols Project) แล้วเสร็จในครึ่งหลังปี 2563 ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งในปี 2563 บริษัทไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันเหมือนปีนี้ที่จะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงไตรมาส 4/2562 เป็นเวลา 50 วัน ทำให้กำลังการกลั่นในไตรมาส 4/2562 หายไป ทำให้กระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 4 /2562
สำหรับงบลงทุนในปี 2563 บริษัทตั้งงบลงทุนโครงการต่างๆที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่มีรวมการลงทุนโครงการปิโตรเคมีครบวงจรที่สหรัฐฯ และการลงทุนเข้าซื้อกิจการ(M&A)โรงงานปิโตรเคมีในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาอยู่หลายโครงการ คาดว่าปีหน้าจะเห็นการลงทุนดังกล่าว เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อกิจการโรงงานในช่วงวัฎจักรขาลงปิโตรเคมี
โดยบริษัทมีความพร้อมด้านเงินทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจราว 1.5-2 แสนล้านบาทในช่วง 5ปีนี้ เพราะมีกระแสเงินสดเข้าแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 3หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)อยู่ที่ 0.3เท่า สามารถสร้างหนี้เพิ่มขึ้นได้ราว 2 แสนล้านบาท ทำให้D/E เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1 เท่า จากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลง ก็มีโอกาสที่บริษัทจะออกหุ้นกู้ แต่ทั้งนี้โอกาสการลงทุนว่ามีความเหมาะสมที่จะออกหุ้นกู้หรือไม่
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่สหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ในไตรมาส 2/2563 หากตัดสินใจลงทุนก็จะใช้เวลา 5ปีในการก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จ โดยยอมรับว่าความเสี่ยงโครงการดังกล่าวในสหรัฐฯน้อยลง เพราะสหรัฐฯมีแหล่งวัตถุดิบที่ต่ำ และมีตลาดภายในประเทศรองรับอยู่
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่สหรัฐฯ มีกำลังการผลิตเอทิลีน 1.5 ล้านตัน/ปี และโพลีเอทิลีน 1.5 ล้านตัน/ปี โดยโครงการนี้บริษัทฯร่วมทุนกับพันธมิตร คือ DAELIM เกาหลีใต้ สัดส่วนการถือหุ้น 50 :50 โดยไม่มีแผนที่จะหาพันธมิตรเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาแหล่งเงินกู้
ทั้งนี้ บริษัทฯตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2573 บริษัทฯมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA) จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 7%ในปี2562เป็น 30%ในปี 2573 ขณะที่รายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจาก 50 % เป็น60% และในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 30%ด้วย
นายคงกระพัน กล่าวต่อไปว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลไประดับโลก โดยขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ 3 Steps คือ 1.Step Change สานต่อบ้านให้แข็งแรงทั้งในมาบตาพุด และอาเซียนให้แข็งแรง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่ม Plant Reliability ให้อยู่ในระดับ 1st Quartile และ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจด้วยการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและ High Value Business โดยขณะนี้ลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันอออก(อีอีซี) ไปแล้ว 1 แสนล้านบาท และอีก 3 ปีข้างหน้าจะลงทุนในอีอีซีอีกไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นโครงการ่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้บริหาร
2.Step Out การหาฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Base) ซึ่งมีศักยภาพในการแข่งขันด้านวัตถุดิบหรือการเติบโตของตลาด อาทิ โครงการศึกษาการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯ รวมทั้งมองโอกาสต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ด้วย Mergers and Acquisitions (M&A) สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด
3. Step Up: สานต่อแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยบริษัทได้ปฏิบัติอย่างโดดเด่น ด้วยความคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อความยั่งยืนสูงสุด และต่อยอดบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน (Sustainability) ในทุกธุรกิจและกระบวนการของบริษัทฯ
ส่วนความคืบหน้าการตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PLA ในไทยว่า บริษัทได้ชักชวนเนเชอร์เวิร์กเข้ามาตั้งโรงงานผลิตPLA แห่งที่ 2 ในไทย ขนาดกำลังการผลิต 7.5 หมื่นตันด/ปี คาดว่าจะมีความชัดเจนในต้นปีหน้า
ทั้งนี้ บริษัทได้ถือหุ้นบริษัทเนเชอร์เวิร์กที่สหรัฐฯ สัดส่วน 50% โดยโรงงานผลิตPLA ที่สหรัฐฯเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้ว 1.5 แสนตันต่อปี


กำลังโหลดความคิดเห็น