xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC กำไร Q3/62 วูบ 79% คาดปี 63 น้ำมันดิบ 58-65 ดอลล์/บาร์เรล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



พีทีที โกลบอล เคมิคอล แจงกำไรไตรมาส 3/62 อยู่ที่ 2,663 พันล้านบาท ลดลง 79% เป็นผลจากการปรับลดลงของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้งวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 11,308 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 69% คาดปีหน้าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 58-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล


นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2562 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,663.33 ล้านบาท ลดลง 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,792.58 ล้านบาท โดยไตรมาส 3 นี้บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 105,154 ล้านบาท ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการปรับตัวลดลงของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากผลกระทบของสงครามการค้าเป็นหลัก แม้ว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์โรงกลั่นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยเฉพาะในส่วนของส่วนต่างน้ำมันดีเซล-น้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นผลจากมาตรการลดการใช้น้ำมันเตากำมะถันสูงในธุรกิจเดินเรือตามนโยบาย IMO และส่วนต่างน้ำมันเตา-น้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีค่าการกลั่น (GRM) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.46 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 4.40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล


ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์เบนซีนกับคอนเดนเสทปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำโดยเฉพาะสไตรีนโมโนเมอร์ และการลดลงของระดับสินค้าคงเหลือของเบนซีนในจีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับคอนเดนเสทปรับตัวลดลงแม้ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่ยังคงอัตรากำลังการผลิตสูง เนื่องจากตลาดกังวลปริมาณกำลังการผลิตใหม่ที่ทยอยเข้ามา อย่างไรก็ตาม จากการเปลี่ยน Catalyst ในไตรมาส 2/2562 ทำให้ได้ผลผลิตพาราไซลีนมากขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 136 เหรียญสหรัฐต่อตันจาก 75 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสก่อน หรือเพิ่มขึ้น 83%


สำหรับธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ราคาผลิตภัณฑ์โอลีเอทิลีนได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมีแนวโน้มลดลงตลอดไตรมาส ทำให้ Adjusted EBITDA ของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 7,441 ล้านบาท ลดลง 56% จากไตรมาส 3/2561 โดยไตรมาส 3 นี้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 436 ล้านบาทจากการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งความผันผวนของราคาน้ำมันดิบดูไบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ทำให้ไตรมาส 3 นี้บริษัทขาดทุนสต๊อกน้ำมันและสินค้าคงเหลือ 372 ล้านบาท
ส่วนการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ รวม 11,308 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 69 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 36,008.03 ล้านบาท


นางสาวดวงกมลกล่าวถึงแนวโน้มตลาดน้ำมันในปี 2563 ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบปีหน้าคาดว่าจะเฉลี่ย 58-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ยังคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกอยู่ที่ 101.6 ล้านบาร์เรล/วัน หรือเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันดิบในปีหน้ายังมีความไม่แน่นอนทั้งจากสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการ GDP โลกปี 2563 เหลือร้อยละ 3 อาจกดดันความต้องการใช้น้ำมันโลก และแม้ว่ากลุ่มโอเปกและรัสเซียมีความพยายามทำข้อตกลงในการตรึงกำลังการผลิต แต่ปริมาณน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กดันราคาน้ำมัน โดยบริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 19-20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล


ส่วนแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 2563 จะอยู่ที่ 320-330 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากปี 2562 สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีน และแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 170-180 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 เนื่องจากอุปสงค์ใหม่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าบริษัทฯ มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตอะโรเมติกส์ 2 ในไตรมาส 1 เป็นเวลา 19 วัน ส่วนผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในปี 2563 มีแนวโน้มลดลงจากปีนี้เล็กน้อย คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE ในปีหน้าจะอยู่ราว 910-1,030 เหรียญสหรัฐต่อตัน โดยปีหน้าบริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงโอฟินส์ 2/1 เป็นเวลา 39 วัน และโรงโอเลฟินส์ 2/2 เป็นเวลา 35 วัน


กำลังโหลดความคิดเห็น