“พาณิชย์” เคาะส่วนต่างโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว งวดที่ 12 มีเกษตรกรที่ปลูกข้าว 4 ชนิดได้รับเงินชดเชย แต่ข้าวเปลือกเหนียวไม่ได้ เหตุราคาสูงกว่าราคาตลาด เผยได้รับเงินส่วนต่างลดลง หลังราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้น จากมาตรการเสริมที่รัฐนำมาใช้ประสบความสำเร็จ คาดแนวโน้มงวดต่อไป ชดเชยน้อยลงอีก
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า เมื่อวันที่ 24 ม.ค.2563 ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้พิจารณาการชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันรายได้กับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง โดยมีมติให้จ่ายเงินส่วนต่างงวดที่ 12 ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจำนวน 4 ชนิด คือ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ข้าวเปลือกหอมมะลิ และข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ส่วนข้าวเปลือกเหนียว ไม่จ่ายชดเชยส่วนต่างเพราะราคายังสูงกว่าราคาประกัน
การชดเชยส่วนต่างจะจ่ายเงินให้เกษตรกรที่แจ้งเก็บเกี่ยวระหว่างวันที่ 19-25 ม.ค. 2563 ดังนี้ ข้าวเปลือกเจ้า ราคาตลาดเฉลี่ยตันละ 8,104.22 บาท ได้รับส่วนต่างตันละ 1,895.78 บาท, ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ราคาตลาดตันละ 9,905.32 บาท ได้รับส่วนต่างตันละ 1,094.68 บาท , ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาตลาดตันละ 14,673.50 ได้รับชดเชยตันละ 326.50 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ราคาตลาดตันละ 13,971.35 ได้รับชดเชยตันละ 28.65 บาท
สำหรับการจ่ายเงินส่วนต่างงวดที่ 12 เกษตรกรได้รับเงินลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะราคาข้าวเปลือกในตลาดปรับตัวสูงขึ้น จากมาตรการเสริมที่รัฐบาลได้นำมาใช้ ทั้งมาตรการจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตันละ 1,500 บาท ทำให้เกษตรกรชะลอการนำข้าวออกไปขาย มาตรการช่วยสนับสนุนดอกเบี้ยให้กับสถาบันเกษตรกร และผู้ประกอบการค้าข้าวในการรวบรวมข้าวและเก็บสต๊อก ทำให้มีการดึงผลผลิตข้าวส่วนเกินออกจากตลาด โดยคาดว่าราคาข้าวจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และงวดต่อๆ ไปจะชดเชยน้อยลงอีกจากการที่ผลผลิตข้าวลดลง ข้าวนาปรังเสียหายจากภัยแล้ง ทำให้มีการแย่งซื้อข้าวกันมากขึ้น
ส่วนผลจากการคำนวณส่วนต่าง งวดที่ 12 เกษตรกรจะได้รับเงินชดเชยสูงสุด คือ ข้าวเปลือกเจ้า จะได้รับเงินรวม 56,873.40 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุม ได้เงินรวม 27,367 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิ ได้เงินรวม 4,571 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ได้เงินรวม 458.40 บาท