“กกร.” คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 โต 2.5-3% ส่งออกโต 0-ติดลบ 2% รับความตึงเครียดในตะวันออกกลางกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมเข้ามาอีกเสนอ 4 มาตรการภาครัฐกระตุ้นรับมือ ทั้งลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดค่าไฟฟ้าให้ SME ที่พัก 5% เวลา 1 ปี เร่งรัดคือ Vat ลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาฯ ลดจ่ายเงินประกันสังคม เร่งขุดบ่อรับมือภัยแล้ง ฯลฯ
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย วันนี้ (8 ม.ค.) ว่า กกร.ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2563 ท่ามกลางปัจจัยกดดันหลายด้านที่ต่อเนื่องจากปีก่อนโดยเฉพาะสงครามการค้า และปัจจัยลบเพิ่มเติมกรณีความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านล่าสุดจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปีนี้จะเติบโตได้ราว 2.5-3% การส่งออกคาดว่าจะเติบโตระดับ 0-ติดลบ 2% และเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 8-1.5%
“จีดีพีปี 2562 เราคาดการณ์ว่าเติบโต 2.5% การส่งออกลดลง 2.5% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.7% ซึ่งยอมรับว่าในปี 2563 ภาพรวมก็ยังคงมีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอนโดยเฉพาะที่เข้ามาเป็นปัจจัยเพิ่มขึ้นในกรณีความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่เราเองก็เกรงว่าจะทำให้ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาวะภัยแล้งที่รุนแรงอาจกระทบต่อแรงซื้อในประเทศจึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลภาวะเศรษฐกิจ” นายกลินท์กล่าว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร.เห็นว่า ภาครัฐควรมีนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดย กกร.เสนอให้ภาครัฐดำเนินการ 4 มาตรการเพิ่มเติม ดังนี้ 1.ลดค่าใช้จ่าย ที่ประกอบด้วย ลดค่าไฟ ให้เฉพาะธุรกิจ SMEs และบ้านพัก ลงมา 5% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด, เร่งรัดการคืนภาษี VAT ให้รวดเร็วภายในเวลา 30 วัน, ลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรใหม่เพื่อการผลิตซึ่งประเทศไทยผลิตเองไม่ได้ ลงเหลือ 0% เป็นระยะเวลา 1 ปี และลดการจ่ายเงินประกันสังคมของผู้ประกันสังคม ทั้งลูกจ้าง และนายจ้าง ลง 50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ และลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและค่าการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 50 ล้านบาทให้เป็น 0.01% เป็นระยะเวลา 1 ปี
2. เสนอให้มีการขุดบ่อกักเก็บน้ำในรูปแบบของแก้มลิงในแต่ละหมู่บ้าน (ประมาณ 70,000 หมู่บ้าน) เพื่อช่วยแก้วิกฤติภัยแล้งในระยะยาว โดยใช้แรงงานในท้องถิ่น ทั้งนี้ หากภาครัฐสามารถจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการขุดบ่อได้ ก็จะช่วยลดเวลาในการเวนคืนได้มาก
3. แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกเหนือจากการพัฒนาเขต EEC เช่น ภาคเหนือ (NEC) จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร และ Creative Economy ภาคอีสาน (NEEC) ศูนย์กลางการท่องเที่ยว อาหาร และ Logistics hub ภาคใต้ (SEC) พัฒนา ให้เป็นเมืองอัจฉริยะและท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล เป็นต้น
4. ให้ กกร.เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้คล่องตัวมากขึ้น และสนับสนุนสินค้าไทยมากขึ้น