xs
xsm
sm
md
lg

กกร.ผวาวิกฤติสหรัฐฯ-อิหร่าน-ชง4แผนรับมือศก.-หุ้นดิ่ง-ทองพุ่ง2.3หมื่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน360- “กกร.” คาดจีดีพีปี’63 โต2.5-3% ส่งออกโต0-ติดลบ 2% รับปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางหวั่นดันราคาน้ำมันพุ่ง เสนอเสนอ 4 มาตรการภาครัฐกระตุ้นเศรษบกิจรับมือทั้งปัจจัยเสี่ยงภายในและภายนอก ทั้งลดค่าไฟฟ้าให้ SME-ที่พัก 5% ระยะเวลา 1 ปี เร่งรัดคืนแวต ลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาฯ ลดจ่ายเงินประกันสังคม เร่งขุดบ่อรับมือภัยแล้ง ฯลฯ ด้านตลาดหุ้นไทยร่วง 25.96 จุด หรือ 1.64% "ภากร" ชี้ในวิกฤตมีโอกาส เลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ปันผลเด่น เลขาฯ ก.ล.ต. ยันภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังดี ขณะที่ราคาทองคำ ผันผวนปรับขึ้นลง 7 รอบ ทองรูปพรรณขายบาทละ 23,250 บาท

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ที่ประกอบด้วยสภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)และสมาคมธนาคารไทย เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) ว่า กกร.ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2563 ท่ามกลางปัจจัยกดดันหลายด้านที่ต่อเนื่องจากปีก่อนโดยเฉพาะสงครามการค้า และปัจจัยลบเพิ่มเติมกรณีความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านล่าสุดจึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปีนี้จะเติบโตได้ราว 2.5-3% การส่งออกคาดว่าจะเติบโตระดับ 0-ติดลบ 2% และเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 8-1.5% ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่อาจยืนสูงที่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเป็นเวลา 6 เดือน

“จีดีพีปี 2562 เราคาดการณ์ว่าเติบโต 2.5% การส่งออกลดลง 2.5% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.7% ซึ่งยอมรับว่าในปี 2563 ภาพรวมก็ยังคงมีหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอนโดยเฉพาะที่เข้ามาเป็นปัจจัยเพิ่มขึ้นในกรณีความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่เราเองก็เกรงว่าจะทำให้ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาวะภัยแล้งที่รุนแรงอาจกระทบต่อแรงซื้อในประเทศจึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลภาวะเศรษฐกิจ” นายกลินท์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยบวกทั้งการที่รัฐจะสามารถผ่านงบประมาณเพื่อเร่งรัดการใช้จ่าย การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่ขณะนี้มีเอกชนให้ความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะมีสัญญาณที่การลงทุนจากต่างชาติจะมีการย้ายฐานมาจากจีน ญี่ปุ่น และไต้หวันมากขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะยังเติบโต โดยเฉพาะท่ามกลางความตึงเครียดก็อาจจะเป็นโอกาสการท่องเที่ยว

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กกร.เห็นว่า ภาครัฐควรมีนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม โดย กกร. เสนอให้ภาครัฐดำเนินการ 4 มาตรการเพิ่มเติมดังนี้ 1. ลดค่าใช้จ่าย ที่ประกอบด้วย ลดค่าไฟ ให้เฉพาะธุรกิจ SMEs และบ้านพัก ลงมา 5% เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจทั้งหมด ,เร่งรัดการคืนภาษี VAT ให้รวดเร็วภายในเวลา 30 วัน ,รลดภาษีนำเข้าเครื่องจักรใหม่เพื่อการผลิตซึ่งประเทศไทยผลิตเองไม่ได้ ลงเหลือ 0% เป็นระยะเวลา 1 ปี และลดการจ่ายเงินประกันสังคมของผู้ประกันสังคม ทั้งลูกจ้าง และนายจ้าง ลง50% เป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและผู้ประกอบการ และลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินและค่าการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 50 ล้านบาทให้เป็น 0.01% เป็นระยะเวลา 1 ปี

2.เสนอให้มีการขุดบ่อกักเก็บน้ำในรูปแบบของแก้มลิงในแต่ละหมู่บ้าน (ประมาณ 70,000 หมู่บ้าน) เพื่อช่วยแก้วิกฤติภัยแล้งในระยะยาว โดยใช้แรงงานในท้องถิ่น ทั้งนี้ หากภาครัฐสามารถจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุที่เหมาะสมในการขุดบ่อได้ ก็จะช่วยลดเวลาในการเวนคืนได้มาก

3. แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกเหนือจากการพัฒนาเขต EEC เช่น ภาคเหนือ (NEC) จะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร และ Creative Economy ภาคอีสาน(NEEC) ศูนย์กลางการท่องเที่ยว อาหาร และ Logistics hub ภาคใต้ (SEC) พัฒนา ให้เป็นเมืองอัจฉริยะและท่องเที่ยว รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล เป็นต้น

4. ให้ กกร. เข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพื่อปรับปรุงระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐให้คล่องตัวมากขึ้น และสนับสนุนสินค้าไทยมากขึ้น

“มาตรการที่เสนอเป็นการรับมือเรื่องต้นทุนที่เราเองมองว่าน่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับราคาน้ำมันที่สูงและจะกระทบค่าไฟฟ้าที่คนส่วนใหญ่ใช้มากกว่าและต้นทุนเอกชนจึงเสนอมาตรการในการลดต้นทุนไว้ก่อนล่วงหน้า ขณะเดียวกันหากมองแง่ส่งออกไปตะวันออกกลางไทยเองส่งออกเพียง 3.5% เท่านั้นจึงไม่น่าจะมีผลมาก อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทหากเป็นไปได้เอกชนเองอยากเห็นระดับ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯแต่ก็ยอมรับว่าอาจไม่ง่ายจึงขอให้สะท้อนภูมิภาคเป็นสำคัญ”นายสุพันธุ์ กล่าว

ตลาดหุ้นไทยร่วงหนักเฉียด 26 จุด

ด้านบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ม.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน จากความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง หลังจากอิหร่านยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพสหรัฐฯ โดยดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,572.03 จุด และทำระดับต่ำสุดที่ 1,555.75 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,559.27 จุด ลดลง 25.96 จุด หรือคิดเป็น 1.64% มูลค่าการซื้อขาย 65,089.77 ล้านบาท

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึง สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านที่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ว่า ขอให้นักลงทุนติดตามศึกษาข้อมูลและบทวิเคราะห์ เนื่องจากมองว่ายังเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนช่วงวิกฤต เพราะมีทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบและกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ รวมถึงตลาดหุ้นไทยยังมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจหากเทียบกับตลาดพันธบัตรรัฐบาล

"ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ได้รับผลกระทบหลักจากปัจจัยใหม่ที่เข้ามา คือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ในช่วงที่หุ้นจะปรับตัวลงมาก ก็เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ โดยจะเห็นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอยู่ที่เพียง 1.3% ถือว่าต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งหากมีการวิเคราะห์เลือกหุ้นที่ให้เงินปันผลดีก็อาจจะทำให้ได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 3.7%" นายภากร กล่าว

เลขาฯก.ล.ต.มั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทย ถือเป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเกิดจากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน โดย ก.ล.ต. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุการณ์ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจจัดการลงทุน รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ขอแนะนำให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มของอัตราการเติบโตดีขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากข้อตกลงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี 2563 ทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี และการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนมีแนวโน้มขยายตัวด้วยเช่นกัน ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ (0.68%) หนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับต่ำ (40.9%) และดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล (6.8% ต่อ GDP) ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำหรับตลาดการเงิน ยังมีเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ (7.61 พันล้านบาท) ตั้งแต่ต้นปี 2563

ราคาทองสุดผันผวนขึ้นลงวันเดียว7รอบ

สมาคมค้าทองคำแจ้งปรับเปลี่ยนราคาทองคำ วานนี้ (8 ม.ค.) มีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวันรวม 7 ครั้ง โดยสุดท้ายปรับขึ้นอีกบาทละ 50 บาท รวมตลอดทั้งวันราคาทองปรับขึ้น 4 ครั้ง รวมปรับขึ้น 500 บาท และปรับลง 3 ครั้ง รวมปรับลดลง 150 บาท หรือปรับขึ้นสุทธิ 350 บาท ราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่บาทละ 22,750 บาท ทองรูปพรรณขายออกบาทละ 23,250 บาท โดยราคาทองรูปพรรณทำสถิติพุ่งขึ้นสูงสุดที่บาทละ 23,350 บาท


กำลังโหลดความคิดเห็น