"สนธิรัตน์" กางแผนงานปี 2563 สานต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากสร้างรายได้ชุมชนเพิ่ม ตามแนวทาง Energy for All เร่งเครื่องโรงไฟฟ้าชุมชน หนุนบี 10 ดันราคาปาล์ม ดึงเงินกองทุนอนุรักษ์ฯทำโซลาร์สูบน้ำบาดาลรับมือภัยแล้ง จัดทำ 5 แผนพลังงาน เร่งเจรจาพื้นที่ปิโตรเลียมไทย-กัมพูชา ควบคู่เปิดประมูลปิโตรเลียมรอบใหม่ จ่อคลอดแผนอีวี ฯลฯ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 2563 ยังคงสานต่อนโยบายที่จะส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากตอบโจทย์พลังงานเพื่อทุกคน(Energy for All) มากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนซึ่งวางกรอบแนวทางไว้ 6 เรื่องหลัก ได้แก่ โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้ดำเนินการเรื่องนี้ซึ่งจะเร่งให้เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนแรกของปี 63 โดยเฉพาะควิกวินโดยจะเน้นเอาชุมชนและพื้นที่ที่มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน และใช้วัสดุทางการเกษตรมาเป็นเชื้อเพลิงเป็นเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาให้ร่วมกับเอกชน และยืนยันจะดำเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งจะเบื้องต้นกำหนดไว้ 4 โมเดลจำนวน 700 เมกะวัตต์คาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุน 7 หมื่นล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ยังจะเดินหน้านโยบายส่งเสริมดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันพื้นฐานมีผล 1 ม.ค. 63 และปั๊มน้ำมันทุกแห่งจะจำหน่ายบี 10 ทดแทนบี 7 ครบภายใน 1 มี.ค. 63 ซึ่งจะช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ(CPO)ยกระดับราคาปาล์มให้เกษตรกรซึ่งผลจากนโยบายนี้ทำให้ราคาปาล์มได้ปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากนั้นมองไปยังการส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์อี 20 เป็นน้ำมันพิ้นฐานต่อไปในปี 63 ที่จะยกระดับราคาน้ำมันสำปะหลังและอ้อย
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ขณะเดียวกันยังมีนโยบายที่จะบริหารเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในปีงบ 2563 วงเงิน 10,000 ล้านบาทที่จะส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์สูบน้ำบาดาลเพื่อรองรับปัญหาภัยแล้งในปีหน้า อย่างไรก็ตามเพื่อความยั่งยืนยังจะส่งเสริมให้เกิดธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อแก้ไขการขาดน้ำระยะยาว เป็นต้น นอกจากนี้จะเร่งการวางแผนพลังงาน 5 แผนเพื่อให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2563
นอกจากนี้ยังจะเร่งเจรจาพื้นที่ทับซ้อนปิโตรเลียมไทย-กัมพูชาเพื่อเสริมความมั่นคงพลังงานของไทยในระยะยาวควบคู่ไปกับการเปิดประมูลปิโตรเลียมเพื่อให้สิทธิ์เอกชนสำรวจและผลิตรอบใหม่ในประเทศในปี 2563 และแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ที่จะต้องทำเป็นแพคเกจที่มองทั้งรถ ค่าไฟฟ้า รองรับ จะสรุปแผนดำเนินงานทั้งภาพรวมในอีก 2 เดือนหน้า เป็นต้น
" ปี 63 นั้นมอบให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเร่งสรุปการเจรจากับเชฟรอน กรณีค่ารื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณที่ก่อนหน้าได้ระงับการฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการออกไปก่อนแล้ว และวางบทบาทให้ไทยเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าและ LNG ซึ่งคาดว่าจะสามารถเกิดการซื้อขายได้จริงภายในไตรมาสที่ 3"นายสนธิรัตน์กล่าว