“พาณิชย์”นัดถกแก้ปัญหาราคาเศษกระดาษตกต่ำ 9 ม.ค.นี้ หลัง “ซาเล้ง-ร้านรับซื้อของเก่า-ร้านคัดแยกขยะ”บุกร้องให้ช่วย เตรียมเชิญทุกฝ่ายหารือมาตรการช่วยเหลือ พร้อมประสานผู้นำเข้าให้ข้อมูล หลังยอดนำเข้าพุ่ง เผยหากจะห้ามนำเข้า 2 หน่วยงานรัฐ “ทส.-อุตสาหกรรม” ต้องไปคุยกันให้จบก่อนเสนอ “พาณิชย์” ออกประกาศ ชี้ทำได้เร็วสุด แต่หากใช้เซฟการ์ด อาจใช้เวลาเป็นปี
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ เตรียมนัดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจเศษกระดาษ ทั้งซาเล้ง ร้านรับซื้อของเก่า ร้านคัดแยกขยะ ผู้ประกอบการคัดแยกขยะ ผู้ใช้ และผู้นำเข้าเศษกระดาษ มาหารือถึงแนวทางและมาตรการช่วยเหลือ หลังจากที่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับเศษกระดาษ ได้เดินทางมาหารือกับกรมฯ และขอให้กรมฯ ให้ความช่วยเหลือ เพราะปัจจุบันราคาเศษกระดาษตกต่ำ จากปกติเฉลี่ยกิโลกรัม (กก.) ละ 3 บาท ลดลงมาเหลือแค่เฉลี่ย กก.ละ 1.50-2.00 บาท ทำให้ได้รับความเดือดร้อน
โดยกลุ่มผู้ประกอบการ แจ้งว่า ปัจจุบันมีการนำเข้าเศษกระดาษเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยตัวเลข 10 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-ต.ค.) มีปริมาณ 1.5 ล้านตัน มูลค่า 6,631 ล้านบาท และไม่มีการกำกับดูแล ทำให้มีผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงขอให้กรมฯ ช่วย ซึ่งกรมฯ ได้แจ้งเบื้องต้นว่า ปัจจุบันเศษกระดาษ สามารถนำเข้าได้ เพราะเป็นขยะรีไซเคิล แต่หากต้องการให้ห้ามนำเข้า เป็นหน้าที่ของ 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะไปพิจารณา และเสนอความเห็นมายังกรมฯ จากนั้นกรมฯ ถึงจะออกประกาศห้ามนำเข้า โดยใช้อำนาจตามพ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522
ส่วนอำนาจหน้าที่ของกรมฯ สามารถดูแลในเรื่องราคาตกต่ำ โดยหากเห็นว่ามีการนำเข้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ จนทำให้อุตสาหกรรมภายในประเทศได้รับผลกระทบ ก็สามารถใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) ได้ แต่การใช้มาตรการ จะต้องมีการพิสูจน์ และใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ถึงจะมีมาตรการออกมาได้ ซึ่งกว่าจะรู้ผล อาจจะไม่ทันการณ์แล้วก็ได้
“การที่กรมฯ ได้นัดทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มาหารือในวันที่ 9 ม.ค.2563 เพื่อให้มาคุยกันว่าจะมีทางออกในเรื่องนี้ร่วมกันอย่างไร เพราะหากรอมาตรการอาจจะไม่ทันการณ์ อย่างการห้ามนำเข้า ก็ต้องรอ 2 หน่วยงานคุยกันก่อน คุยเสร็จ ก็ต้องประชาพิจารณ์ จากนั้นถึงจะเสนอมาให้กรมฯ ออกประกาศห้ามนำเข้า เร็วสุดอาจมี 3 เดือน หรือถ้าจะใช้เซฟการ์ด ก็ต้อง 1 ปีเป็นอย่างน้อย จึงอาจต้องใช้มาตรการทางบริหารเข้าไปจัดการแทน ส่วนจะเป็นมาตรการอะไร ต้องคุยกันก่อน โดยระหว่างนี้ กรมฯ ก็จะหาข้อมูลจากทุกภาคส่วนมาเตรียมพร้อมไว้ก่อน”นายกีรติกล่าว