“คมนาคม” เร่งเคลียร์ตัวเลขมูลค่าเสียหาย ข้อพิพาทคดีทางด่วนเสนอ “ศักดิ์สยาม” ธ.ค.นี้ ก่อนสรุปแนวทางเจรจาขยายสัมปทาน BEM ขณะที่มีทางด่วน 2 สัญญาจะสิ้นสุด ก.พ. 63
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาแก้ไขข้อพิพาทสัญญาทางด่วน ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.), บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เปิดเผยว่า คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ในประเด็นมูลค่าความเสียหายกว่า 58,873 ล้านบาท ซึ่งได้สอบถาม กทพ.ถึงรายละเอียดที่มาของตัวเลขดังกล่าวว่ามีการคำนวณ วิเคราะห์จากอะไรบ้าง เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
โดยให้ กทพ.รวบรวมข้อมูลเอกสารชี้แจงต่อคณะทำงานในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.นี้อีกครั้ง ซึ่งคณะทำงานต้องการสรุปตัวเลขค่าเสียหายก่อนว่าที่ถูกต้องคือเท่าไร รัฐและประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร เพื่ออธิบายกับสังคมได้ จากนั้นจึงจะพิจารณาได้ว่าหากจะต้องชดเชยด้วยการต่อสัญญา ควรเป็นระยะเวลากี่ปี และมีการเจรจากับเอกชนต่อไป
“ท่าน รมว.คมนาคมกำชับให้พิจารณารายละอียดตัวเลขอย่างรอบคอบ และมีเหตุผล มีที่มาที่ไปที่อธิบายได้ ดังนั้นต้องเคลียร์ตัวเลขให้จบก่อน หากยังไม่ทำความเข้าใจเรื่องตัวเลขให้เข้าใจตรงกันไม่ได้ก็ไปต่อไม่ได้”
ทั้งนี้ ในการวิเคราะห์ตัวเลขจะยังไม่นำเรื่องทางด่วนชั้นที่ 2 หรือ Double Deck วงเงินลงทุนประมาณ 32,000 ล้านบาทมารวม โดยจะดูเฉพาะมูลค่าที่เป็นความเสียหายจากข้อพิพาทเรื่องทางแข่งขัน กับการปรับค่าผ่านทางด่วน ซึ่งจะพยายามสรุปข้อมูลภายในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ หรือหากไม่เรียบร้อยอาจจะต้องประชุมอีกครั้ง เพราะต้องเสนอรายงานข้อมูลทั้งหมดต่อนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ภายในเดือน ธ.ค.นี้ เนื่องจากสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 จะสิ้นสุดในเดือน ก.พ. 2563
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาทางด่วนที่กำลังจะหมดอายุสัญญาในปี 2563 คือ โครงการทางด่วนเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) ช่วงดินแดง-ท่าเรือ, บางนา-ท่าเรือ และท่าเรือ-ดาวคะนอง ระยะทางรวม 27.1 กม. และโครงการทางพิเศษศรีรัช (ระบบทางด่วนขั้นที่ 2) 3 ส่วน ได้แก่ ส่วน A ช่วง ถ.พระราม 9-ถ.รัชดาภิเษก ระยะทาง 12.4 กม. ส่วน B ช่วงรัชดาภิเษก-บางโคล่ ระยะทาง 9.4 กม. และส่วน C ช่วงถ.รัชดาภิเษก-ถ.แจ้งวัฒนะ ระยะทาง 8 กม. มี บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) เป็นคู่สัญญาทั้งสองโครงการ โดยทั้งสองโครงการจะหมดอายุสัมปทานในวันที่ 29 ก.พ. 2563