ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค.ต่ำสุดรอบ 17 เดือน ยังคงกังวลปัญหาเทรดวอร์ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า หวังสิ้นปีคำสั่งซื้อฟื้นตัวได้บ้างจากการเข้าสู่เทศกาลรับปีใหม่ วอนรัฐเร่งเจรจา FTA ไทย-อียู และจีเอสพีกับสหรัฐฯ พร้อมออกมาตรการกระตุ้น ศก.ต่อเนื่อง
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2562 อยู่ที่ระดับ 91.2 ปรับตัวลดลงจากระดับ 92.1 ในเดือนกันยายน โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 17 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 เนื่องจากผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลกำลังซื้อในส่วนภูมิภาคที่ยังชะลอตัว และผู้ประกอบการ SMEs ประสบปัญหาด้านการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังคงยืดเยื้อ และการแข็งค่าของเงินบาทที่ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาลดลง
“เอกชนส่วนใหญ่ยังคงกังวลปัญหาสภาวะเศรษฐกิจโลก รองลงมาเป็นค่าเงินบาทที่ผู้ส่งออกมีความกังวลต่อการแข็งค่าที่เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านยังคงแข็งกว่า แต่ยังคงคาดหวังว่าช่วงปลายปีนี้จะมียอดขายและคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับผลดีจากการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพื่อใช้ในเทศกาลช่วงปลายปีต้อนรับปีใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่นและอาหาร ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านโครงการชิมช็้อปใช้ส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค”
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 102.9 โดยลดลงจากระดับ 103.4 ในเดือนกันยายน เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน ปัญหาเบร็กซิต รวมทั้งการที่ไทยถูกสหรัฐฯ ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ทำให้สินค้าส่งออกของไทยราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีความเห็นว่า ภาครัฐควร 1) ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศเรื่องปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออกและลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท 2) เร่งการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู (Thailand - EU Free Trade Agreement) และเร่งการเจรจาขอคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับสหรัฐฯ 3) เร่งการลงทุนภาครัฐเพื่อให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องของภาคเอกชน อันจะส่งผลต่อห่วงโซ่มูลค่าของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 4) ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยภาคการส่งออกที่ชะลอตัวจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก