คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) เห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 62/63 เตรียมเสนอ ครม.ไฟเขียว 12 พ.ย.นี้ เผยประกันรายได้หัวมันสด เชื้อแป้ง 25% กิโลกรัมละ 2.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน วงเงิน 9,671 ล้านบาท ระบุจะจ่ายเงินส่วนต่างงวดแรก 1 ธ.ค. 62 พร้อมอนุมัติมาตรการเสริมดันราคา ทั้งกำกับดูแลการนำเข้า ให้สินเชี่อซื้อมัน และเร่งรัดการส่งออก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2562/63 วงเงิน 9,671 ล้านบาท โดยจะประกันรายได้ผลผลิตหัวมันสำปะหลังสด ที่เชื้อแป้ง 25% ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศ กิโลกรัม (กก.) ละ 2.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 100 ตัน และจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติในวันที่ 12 พ.ย. 2562 นี้
โดยการเข้าร่วมโครงการ เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนผู้ปลูกมันสำปะหลังต่อกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2561-30 พ.ย. 2562 ที่มีจำนวนประมาณ 540,000 ราย และจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนได้ต่อเนื่อง โดยเกษตรกรสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป และรัฐบาลจะโอนเงินงวดแรกในวันที่ 1 ธ.ค. 2562 สำหรับเกษตรกรที่ได้รับสิทธิที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2562-30 พ.ย. 2562 (ประมาณร้อยละ 20 ของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน) และจะโอนเงินทุกวันทำการแรกของเดือนให้เกษตรกรที่เหลือ ที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2562-31 เม.ย. 2563 (ประมาณร้อยละ 80) และจะโอนเงินครั้งสุดท้ายวันที่ 1 พ.ค. 2563 รวมทั้งมีการเก็บเกษตรกรที่ตกหล่นจนถึงวันที่ 31 พ.ค. 2563
"เกษตรกร 1 รายสามารถใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียว และเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวหลังจากนั้นสามารถขึ้นทะเบียนใหม่สำหรับโครงการระยะที่ 2 และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะโอนเงินชดเชยส่วนต่างเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดภายใน 3 วัน นับตั้งแต่วันที่ประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงในแต่ละรอบ และเพื่อเป็นการลดภาระในการเข้าร่วมโครงการ เกษตรกรไม่ต้องทำสัญญาประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. โดยภายใต้โครงการนี้รัฐบาลจะจ่ายเงินทุกวันที่ 1 ของเดือน จำนวน 12 ครั้งต่อปี" นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์กล่าวว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังในการสร้างมาตรฐานของมันสำปะหลังและเข้มงวดการกำกับดูแลการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง รายละไม่เกิน 350,000 บาท นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการจัดหาเครื่องร่อนดิน และสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรที่มีการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลัง นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้น เพื่อจำหน่ายต่อและหรือแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบแนวทางการขยายตลาดมันสำปะหลังในต่างประเทศตามกลยุทธ์รักษาตลาดเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่า และขยายตลาดใหม่ โดยการรักษาตลาดเดิม ได้แก่ จีน จะเร่งรัดการจัดกิจกรรมในมณฑลสำคัญเพื่อเพิ่มยอดส่งออก และการขยายตลาดใหม่ในตุรกี นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และอินเดีย และฟื้นฟูตลาดเก่า คือ สหภาพยุโรป (อียู) โดยจะเจรจากับอียูให้เพิ่มการจัดสรรปริมาณโควตาภาษีสินค้าแป้งดิบ จากปัจจุบันไม่เกินปีละ 10,000 ตัน ให้ไทยได้รับโควตาสินค้าแป้งมันสำปะหลังในปริมาณเป้าหมายที่ 20000 ตัน ซึ่งน่าจะเจรจาเสร็จสิ้นกลางปีหน้า
ขณะเดียวกัน ได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจในการศึกษาแนวทางการจัดการกับโรคใบด่างให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว โดยให้กระทรวงเกษตรฯ รับไปดำเนินการภายใน 1 สัปดาห์ และการกำจัดโรคใบด่างทั้งในที่ดินที่มีและไม่มีเอกสารสิทธิด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมยังมีมาตรการอื่นเพิ่มเติมอีก เช่น เห็นชอบที่จะส่งเสริมการใช้เอทานอลให้เป็นไปตามแผนพลังงานทดแทนที่กำหนดการใช้เป็น 11.3 ล้านลิตรต่อวัน ในปี 2579 (ปัจจุบันมีการใช้อยู่ที่ 4.5 ล้านลิตรต่อวัน) และแก้ไข พ.ร.บ.สุรา พ.ศ. 2493 ให้โรงงานสุรากลั่นแห่งอื่น นอกเหนือจากองค์การสุรา ผลิตสุราสามทับออกจำหน่ายภายในประเทศได้ และลดการนำเข้าเอทานอลเกรดอุตสาหกรรม โดยให้โรงงานเอทานอลในประเทศไทยสามารถผลิตและจำหน่ายให้แก่อุตสาหกรรมอื่นได้ หรือเป็นผู้รับจ้างผลิต (Outsource) ให้แก่องค์การสุราได้ด้วยการใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศ