ปูนซิเมนต์ไทยเผยปีนี้รายได้จากการขายลดลง 8% เหตุราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับลดลง แถมไตรมาส 4 นี้ทิศทางราคาเคมีภัณฑ์ยังต่ำอยู่ และกลุ่มซีเมนต์วัสดุก่อสร้างชะลอตัวจากพิษน้ำท่วม บอร์ดฯ ไฟเขียวนำ "เอสซีจี แพคเกจจิ้ง" เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นเพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจในอนาคต
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ปรับประมาณการรายได้จากการขายทั้งปี 2562 ลดลง 8% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 4.78 แสนล้านบาท ซึ่งดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะติดลบ 9-10% แม้ว่าไตรมาส 4 นี้แนวโน้มราคาสินค้าเคมีภัณฑ์จะยังต่ำอยู่เนื่องจากกำลังการผลิตปิโตรเคมีในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ความต้องการใช้ที่ลดต่ำลงจากสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่ความต้องการใช้ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในไตรมาสนี้ชะลอตัวลงจากผลกระทบน้ำท่วมช่วง ก.ย.-ต.ค.ที่ผ่านมา
สำหรับผลดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีรายได้จากการขาย 3.31 แสนล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และมีกำไรสุทธิ 2.49 หมื่นล้านบาท ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทำให้ 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการขายของธุรกิจเคมิคอลส์อยู่ที่ 41% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 53% ส่วนธุรกิจแพกเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 20% และกำไรสุทธิ 17% ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 39% และกำไรสุทธิ 19% โดยธุรกิจแพกเกจจิ้งมีอัตราการเติบโตมากสุด เพราะได้มีการซื้อกิจการใหม่เข้ามาเสริม
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินแนวโน้มธุรกิจเคมิคอลส์จะยังอยู่ในช่วงวัฏจักรขาลงไปอีกหลายปี เนื่องจากในปีหน้ามีกำลังการผลิตเอทิลีนที่เพิ่มขึ้นทั้งในมาเลเซีย จีน และอินเดียที่สูงถึง 10 ล้านตัน/ปี รวมถึงความตึงเครียดจากตะวันออกกลางและสงครามการค้ากดดันราคาให้ต่ำลงอยู่
นายรุ่งโรจน์กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติแผนการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) (SCGP) จำนวนไม่เกินร้อยละ 30% ของทุนชำระแล้ว โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนดังกล่าวจะนำมาใช้ขยายธุรกิจแพกเกจจิ้งทั้งในและต่างประเทศในอนาคต โดย SCC ยังถือหุ้นใหญ่มากกว่า 70% ส่วนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อใดนั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา รวมทั้งแผนการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม SCC ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนการนำหุ้นเข้าตลาดในช่วงเวลาใดนั้นต้องพิจารณาภาวะตลาดหุ้นของไทยด้วย หากพบว่าตลาดหุ้นยังผันผวนก็จะชะลอเข้าตลาดไปก่อน
เหตุผลสำคัญที่บริษัทตัดสินใจนำเอสซีจี แพคเกจจิ้งเข้าตลาดหุ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ที่มีอัตราการบริโภคและกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งช่องทางการตลาดอี คอมเมิร์ซ ทำให้เอสซีจี แพคเกจจิ้งเป็นผู้นำตลาดแพกเกจจิ้งในภูมิภาคอาเซียนที่มีมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
