ผู้จัดการรายวัน 360 - “กลุ่มใบหยก” เดินเกมรุกกลุ่มธุรกิจอาหาร ผลักดันให้โตและเป็นรายได้หลักมากขึ้น เดินหน้าซื้อไลเซนส์แบรนด์ใหม่ พร้อมพัฒนาเอง ล่าสุดคว้าไลเซนส์ แกรม แพนเค้ก จากญี่ปุ่น สิ้นปีเปิดแบรนด์ไทโชเกี๊ยวซ่าที่พัฒนาเอง จ่อนำเข้าปิ้งย่างญี่ปุ่น วางเป้าเข้าตลาด MAI ปี 2563
นายปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกรรมการ กลุ่มโรงแรมใบหยก เปิดเผยว่า กลุ่มใบหยกมีแผนขยายพอร์ตกลุ่มธุรกิจอาหารให้เติบโตขึ้นมาเป็นกลุ่มหลักจากปัจจุบันมีธุรกิจโรงแรมเป็นกลุ่มหลัก โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจากนี้ (2561) ธุรกิจอาหารในนามของบริษัท พีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด จะมีสัดส่วนรายได้ 5-10% ของรายได้ทั้งเครือ และจะต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี และวางแผนจะนำบริษัทพีดีเอสเข้าตลาด MAI ภายในปี 2563 คาดว่าช่วงเวลานั้นจะมีรายได้รวม 350-400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อระดมทุนมาขยายกิจการ ซึ่งปีที่แล้วมีรายได้รวมกลุ่มอาหาร 220 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2559 ที่มีรายได้รวม 150 ล้านบาท
ในภาพรวมของประเทศ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ร้านกาแฟและธุรกิจจัดเลี้ยง เป็นอีกธุรกิจที่กระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ด้วยมูลค่าตลาดที่สูงถึง 1 ล้านล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ธุรกิจโรงแรมมูลค่า 527,000 ล้านบาท ธุรกิจร้านอาหารมูลค่า 385,000 ล้านบาท ธุรกิจร้านกาแฟ เบเกอรี ไอศกรีม จัดเลี้ยง มูลค่า 62,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ปี 2557-2560 กลุ่มธุรกิจนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10-20%
แนวทางของบริษัทฯ จะมีทั้งการพัฒนาแบรนด์เองและการซื้อไลเซนส์เข้ามาเปิดบริการ ซึ่งปัจจุบันมี 7 แบรนด์แล้ว คือ 1. อูชิดายะราเมง พัฒนาขึ้นมาเอง มี 2 สาขา ปีนี้จะเปิดอีก 1 แห่งที่ปั๊มน้ำมันเชลล์อโศก, 2. เซกาอิ โนะ ยามะจัง เป็นการซื้อไลเซนส์ มี 2 สาขาที่ ธนิยะ กับ สุขุมวิท 39, 3. อิคูฉะ ราเมง ซื้อไลเซนส์ มี 1 สาขาที่เจ อเวนิว ทองหล่อ, 4. PABLO CHEESE TART ซื้อไลเซนส์จากญี่ปุ่น มี 6 สาขา และเป็นแบรนด์ที่มีรายได้หลักกว่า 30% ของทั้งหมด, 5. โมโมทารุราเมง พัฒนาเอง มีสาขาที่ธนิยะ
ล่าสุดที่เปิดตัวเดือนสิงหาคม ปีนี้ (2561) คือ 6. GRAM CAFÉ AND PANCAKE เป็นการซื้อไลเซนส์จากญี่ปุ่น เปิดสาขาแรกที่สยามพารากอน และปลายปีนี้ (2561) จะเปิดแบรนด์ที่ 7 ไทโช เกี๊ยวซ่า พัฒนาขึ้นมาเอง ทั้งนี้ ปัจจุบันมีสาขารวมทุกแบรนด์ 21 สาขา ซึ่งปีนี้เปิดไปแล้วรวม 6 สาขา
นอกจากนั้นอยู่ระหว่างการเจรจาอีกอย่างน้อย 2 แบรนด์จากต่างประเทศ เช่นกลุ่มปิ้งย่างจากญี่ปุ่น และยังมองกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มด้วย เช่น เบเกอรี ไอศกรีม เยลลี เป็นต้น ขณะเดียวกันยังสนใจลงทุนทำตลาดสินค้าอาหารแช่แข็งอีกด้วยหรือโฟรเซนฟูด เพื่อรองรับพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว เพื่อขยายฐานพอร์ตโฟลิโอให้ครอบคลุมประเภทอาหารหลากหลายมากขึ้น
นายปิยะเลิศกล่าวต่อถึงแบรนด์ แกรม แพนเค้ก ว่า ได้ซื้อไลเซนส์มาจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแบรนด์ดังมีสาขารวม 56 สาขาในญี่ปุ่นแล้ว เพื่อมารุกตลาดในไทย เพราะมั่นใจในตัวแบรนด์และรสชาติของอาหาร โดยลงทุนไปจำนวนมาก ทั้งค่าแฟรนไชส์ ค่านำเข้าวัตถุดิบเฉพาะ อุปกรณ์ที่ต้องนำเข้าจากญี่ปุ่นเพื่อรักษามาตรฐาน ซึ่งสาขาแรกที่สยามพารากอน พื้นที่ 73 ตารางเมตร ลงทุนไป 8 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าแฟรนไชส์
"แม้ว่าในตลาดเบเกอรีจะมีการแข่งขันรุนแรง ทั้งแบรนด์ไทยเองและแบรนด์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่มองว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังนิยมอาหารแบรนด์นำเข้าเป็นหลัก โดยเฉพาะแบรนด์จากญี่ปุ่น ผมมองว่าตลาดเบเกอรีนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดีในอนาคตต่อเนื่อง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับมาตรฐานทั้งรสชาติ และการบริการและแบรนด์ด้วย” นายปิยะเลิศกล่าว
