“ส.อ.ท.” ตบเท้าหารือ “ศิริ” รมว.พลังงานถึงนโยบายไม่รับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5 ปี วอนหยุดทันทีธุรกิจป่วนหนักหลังแค่ข่าวออกไปราคาหุ้นรูดแรง แถมแบงก์เริ่มไม่ปล่อยกู้ ลงทุนใหม่ 2.5 หมื่นล้านบาท/ปีไม่เกิด ขอให้ค่อยเป็นค่อยไป โดย “ศิริ” ยันไม่ปิดกั้นแต่ค่าไฟต้องไม่เกิน 2.44 บาท/หน่วย
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ส.อ.ท.โดยกลุ่มพลังงานทดแทนและสายงานอุตสาหกรรมได้เข้าหารือกับ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความชัดเจนถึงนโยบายชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนออกไป 5 ปี เนื่องจากภายหลังจากที่นโยบายดังกล่าวออกไปได้ส่งผลให้เกิดความสับสนจากผู้ประกอบการอย่างมาก และเกรงว่าหากปล่อยไว้จะกระทบต่อการลงทุนใหม่ที่จะหยุดชะงักลงทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งทางกลุ่มพลังงานทดแทนจะมีการชี้แจงรายละเอียดต่างๆ อีกครั้งในวันที่ 10 พ.ค.นี้
“ ส.อ.ท.ได้ชี้แจงให้เห็นว่าธุรกิจพลังงานทดแทนส่วนใหญ่ก็เป็นขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) และเกิดขึ้นจากการส่งเสริมนโยบายของภาครัฐในอดีตที่ผ่านมาภายใต้แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP2015) ที่กำหนดรับซื้อไฟฟ้าเมื่อสิ้นสุดแผนไว้ทั้งสิ้น 16,778 เมกะวัตต์ การที่รัฐจะปรับนโยบายเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตก็เข้าใจได้แต่ควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้เอกชนปรับตัว” นายสุพันธุ์กล่าว
นอกจากนี้ ส.อ.ท.ยังได้หารือถึงนโยบายการเปิดประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ-บงกช ที่จะสิ้นสุดอายุสัมปทานปี 2565-66 ซึ่ง ส.อ.ท.ต้องการให้รัฐดำเนินการเป็นไปตามระยะเวลาที่รัฐกำหนดที่จะทราบผลผู้ชนะประมูลในเดือนธันวาคม และลงนามกับผู้ชนะในเดือน ก.พ. 62 เนื่องจากหากล่าช้าจะกระทบต่อความมั่นคงทั้งระบบไฟฟ้าและอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ที่เป็นวงกว้าง โดย รมว.พลังงานได้ยืนยันว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างแน่นอน
แหล่งข่าวจากกลุ่มพลังงานทดแทน ส.อ.ท.กล่าวว่า ระยะสั้นราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนได้ลดลง บางแห่งลดลงทันทีถึง 50% ระยะกลางและยาวจะกระทบต่อการลงทุนใหม่ทั้งหมด เนื่องจากล่าสุดสถาบันการเงินเริ่มไม่ปล่อยกู้ และนักลงทุนต่างชาติอาจถอนการลงทุนในไทยในที่สุด ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนของพลังงานทดแทนทั้งระบบไม่น้อยกว่า 4.5 แสนล้านบาท โดยจะมีการลงทุนใหม่เฉลี่ยปีละ 2.5 หมื่นล้านบาท (500 เมกะวัตต์) และธุรกิจดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับบริษัทต่างๆ ราว 300-400 ราย
