สภาองค์การนายจ้างฯ คาดแนวโน้ม มี.ค.-เม.ย.อัตราการว่างงานจะสูงขึ้นต่อเนื่อง เหตุนักศึกษาจบใหม่ 6-7 แสนคน หวั่นขึ้นค่าแรง 1 เม.ย.ผลักดันให้ธุรกิจลดจ้างงานมุ่งลดต้นทุนและพึ่งเทคโนโลยีมากขึ้น ขณะที่ ส.อ.ท.ผวาพรรคการเมืองจะนำประเด็นขึ้นค่าแรงหาเสียงต่ออีกหลังรัฐบาลประเดิมนำร่อง
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการว่างงานในเดือน มี.ค.จะสูงขึ้นต่อเนื่องถึง เม.ย. ด้วยปัจจัยสำคัญที่จะมีนักศึกษาจบใหม่อีกราว 6-7 แสนคนเข้ามาในระบบซึ่งเป็นวัฏจักรที่เกิดขึ้นทุกปี แต่ท้ายสุดนักศึกษาเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบแรงงานมากน้อยเพียงใดก็คงจะต้องติดตามในช่วงครึ่งปีหลังของปีไปแล้ว
“สำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานตัวเลขการว่างงานเดือน ก.พ. 2561 ล่าสุดมีการว่างงาน 491,000 คน หรือคิดเป็นอัตราว่างงาน 1.3% โดยมีจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้น 61,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจากนี้ไปก็คงจะสูงขึ้นจากการที่มีนักศึกษาจบใหม่เข้ามาเติม แต่ภาพรวมเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งออกที่ยังมองว่าโตอยู่ก็จะช่วยดูดซับได้ระดับหนึ่ง” นายธนิตกล่าว
สำหรับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะมีผลในวันที่ 1 เม.ย.นั้นยอมรับว่าจะมีผลกระทบต่อการจ้างงานที่ลดลง แต่สัดส่วนอาจไม่มากนักเพราะส่วนหนึ่งโรงงานเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติแทนคนมากขึ้นเพื่อปรับตัวเข้าสู่ยุค 4.0 และค่าแรงที่จะสูงขึ้นดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลคือการปรับตัวของผู้ประกอบการรายกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ว่าจะมีมากน้อยเพียงใด ขณะที่รายกลางและรายใหญ่ที่เน้นใช้แรงงานสูงแต่จำหน่ายสินค้าราคาต่ำจะได้รับผลกระทบเช่นกัน
แหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมการภาครัฐและเอกชน (กกร.) ได้เคยเรียกร้องรัฐบาลไปแล้วว่าการขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 1 เม.ย.บางจังหวัดมีความไม่เหมาะสม แต่ในเมื่อรัฐไม่ฟังเสียงเอกชนคงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องให้สมาชิกโดยเฉพาะเอสเอ็มอีต้องเร่งปรับตัวเองเป็นสำคัญในการลดต้นทุน
“สิ่งที่เรากังวลขณะนี้คือการที่รัฐขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ที่ดูจะไม่มีเหตุผลมากนัก ซึ่งทำให้คิดได้ว่านี่เป็นการหาเสียงเลือกตั้ง และหากมีการเลือกตั้งจริงเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าแต่ละพรรคการเมืองจะนำประเด็นการขึ้นค่าแรงอย่างไม่มีเหตุผลไปหาเสียงกับประชาชน” แหล่งข่าวกล่าว
