ผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯ ตั้งงบลงทุนปีนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หลังจากมีบางโครงการดีเลย์ต้องมาใช้เงินในปีนี้แทน วางเป้ามีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มปีนี้อย่างน้อย 750 เมกะวัตต์
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทวางเป้างบลงทุนเกิน 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ใช้เงินลงทุน 4-5 พันล้านบาท เนื่องจากเลื่อนการจ่ายเงินลงทุนสำหรับโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟังเชงกังที่จีนมาเป็นปีนี้ ขณะเดียวกันก็จะใช้รองรับการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู และโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตามแผน
รวมถึงการทำดีลซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน (M&A) โรงไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว โดยคาดว่าจะหาให้ได้ราวครึ่งหนึ่งจากเป้าหมายการหากำลังการผลิตไฟฟ้าในมือเข้ามาอย่างน้อย 750 เมกะวัตต์ในปีนี้
บริษัทวางเป้าหมายจะรักษาฐานกำไรในปีนี้ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงปีก่อน โดยเน้นการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่อยู่ในมือให้สามารถเดินเครื่องผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าหงสาในลาว ขณะที่จะมีกำลังผลิตใหม่เข้าระบบในปีนี้ราว 174 เมกะวัตต์ จากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Collinsville ในออสเตรเลีย กำลังการผลิต 42.5 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้น 80% คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุนราว 34 เมกะวัตต์, โครงการพลังงานลม Mount Emerald ออสเตรเลีย กำลังการผลิต 180 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้น 80% คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนร่วมทุนกว่า 140 เมกะวัตต์
รวมทั้งยังจะเร่งการลงทุนโรงไฟฟ้า Kemerton ในออสเตรเลีย สำหรับส่วนของการติดตั้งชุดกำเนิดไฟฟ้าเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อกู้คืนระบบ (Black Start) กำลังผลิตรวม 7 เมกะวัตต์ เพื่อเสริมความมั่นคงของโรงไฟฟ้า โดยคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปลายปี 61 ซึ่งเร็วกว่าแผนการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตามสัญญาในช่วงต้นปี 62
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือราว 7,500-7,600 เมกะวัตต์ ในส่วนนี้เป็นกำลังการผลิตที่เดินเครื่องผลิตแล้วราว 6,500 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพัฒนา โดยแผนการหากำลังผลิตไฟฟ้าจาก M&A นั้นมองทั้งในไทยและอาเซียน โดยในไทยเห็นโอกาสการลงทุนในกลุ่มผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็มองโอกาสการเข้าร่วมประมูลตามแผนรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของภาครัฐที่จะทยอยประกาศออกมาในปีนี้ด้วย ส่วนในอาเซียน มองโอกาสการลงทุนทั้งเชื้อเพลิงประเภทฟอสซิล และพลังงานทดแทน ในอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, พม่า,เวียดนาม เป็นต้น