กรมทรัพย์สินทางปัญญาส่งดีอีปิดเว็บไซต์จำหน่ายของปลอมแล้ว 10 เว็บไซต์ จ่อยื่นตามอีก 20 เว็บ และส่งสรรพากรตรวจที่มาของรายได้กว่า 100 ราย เตรียมนัด กอ.รมน. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนปราบปราม หลังตลาดขายของปลอมชื่อดังหายไป 6-7 ตลาด เล็งปรับโฟกัสไปจัดการตลาดที่ยังขายอยู่ พร้อมขอบคุณเจ้าของห้าง อาคาร ให้ความร่วมมือเลิกสัญญาร้าน แผงค้า ที่ขายของปลอมจริงจัง
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ส่งรายชื่อเว็บไซต์ที่ขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไปให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อทำการปิดเว็บไซต์ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2560 แล้วจำนวน 10 เว็บไซต์ หลังจากมีการตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าเป็นเว็บไซต์ที่จำหน่ายสินค้าละเมิดตามที่ผู้ประกอบการและเจ้าของสิทธิ์ได้ยื่นเรื่องเข้ามาจริง และมีหลักฐานครบถ้วน โดยยังเหลืออีกประมาณ 20 เว็บไซต์ที่กรมฯ กำลังตรวจสอบ หากได้หลักฐานก็จะยื่นเรื่องให้กระทรวงไอซีทีปิดเว็บไซต์ต่อไป และยังจะมีการตรวจสอบเรื่อยๆ หากผู้ประกอบการพบเห็นก็ยื่นเรื่องเข้ามาได้เลย
ทั้งนี้ กรมฯ ยังได้ส่งเรื่องไปยังกรมสรรพากรเพื่อขอให้ตรวจสอบรายได้ของผู้จำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่ตรวจสอบพบ ทั้งการจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม โดยจะตรวจสอบผ่านช่องทางการจ่ายเงิน ซึ่งได้ส่งไปแล้วประมาณ 100 ราย และหากไม่สามารถชี้แจงได้ก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย
สำหรับการจำหน่ายสินค้าละเมิดทางเฟซบุ๊ก ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังสำนักงานของเฟซบุ๊กแล้ว เพื่อให้ช่วยดูแลการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และยังได้ขอความร่วมมือให้ผู้ที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ช่วยรีพอร์ตทันทีที่พบเห็นการจำหน่ายสินค้าละเมิด
นายทศพลกล่าวว่า กรมฯ ยังได้นัดหารือร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อปรับแผนการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เพราะขณะนี้ตลาดในพื้นที่สีแดงหลายตลาดแทบไม่มีสินค้าละเมิดวางจำหน่ายอีกแล้ว โดยหายไป 6-7 ตลาด เช่น มาบุญครอง ตลาดโรงเกลือ สะพานเหล็ก ถนนวิทยุ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า เป็นต้น จึงต้องมุ่งไปยังตลาดที่เหลือเพื่อจัดการให้ไม่มีจำหน่ายต่อไป
ส่วนการจำหน่ายสินค้าละเมิดในห้างสรรพสินค้า อาคารและสถานที่ต่างๆ ที่กรมฯ ได้เคยยื่นจำนวนร้าน แผงจำหน่ายว่าอยู่ตรงไหนให้กับเจ้าของสถานที่ไปแล้วนั้น ล่าสุดได้รับความร่วมมือจากเจ้าของสถานที่เป็นอย่างดี โดยไม่มีการต่อสัญญากับแผงค้า ร้านค้า หรือผู้เช่าที่จำหน่ายสินค้าละเมิด และกรณีที่รายใดถูกจับกุมดำเนินคดี ก็ได้ยกเลิกสัญญาเช่าทันทีแม้จะยังไม่หมดสัญญา ซึ่งกรมฯ ต้องขอขอบคุณไปยังเจ้าของห้างสรรพสินค้า อาคารและสถานที่เป็นอย่างมาก
