กรมทรัพย์สินทางปัญญายันร้านราเมงอิชิรันมีการจดสิทธิบัตรเอาไว้ที่ญี่ปุ่น ไม่ได้จดที่ไทย แต่สามารถมาเปิดสาขาในไทยได้ ส่วนเครื่องหมายการค้า “ICHIRAN” ได้ยื่นจดไว้ คนอื่นนำไปใช้ไม่ได้ พร้อมสอนมวยผู้ประกอบการไทยควรจะคิดค้นและสร้างความเป็นอัตลักษณ์ให้กับร้านตัวเองจะดีกว่า
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ในโลกออนไลน์ว่าสื่อมวลชนประเทศญี่ปุ่นแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการลอกเลียนแบบร้านอิชิรัน ร้านราเมงชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในหมู่คนไทยในชื่อ “ร้านราเมงข้อสอบ” เนื่องจากมีร้านราเมงแห่งหนึ่งในประเทศไทยถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนเอกลักษณ์ วิธีการตกแต่งร้าน และวิธีการสั่งอาหารจากร้านอิชิรันมาใช้ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมากว่า กรมฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว พบว่าร้านราเมงอิชิรันได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตร “Shop System” ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงเป็นระบบสำหรับการตรวจสอบจำนวนลูกค้า ที่นั่งว่าง และการสั่งอาหาร เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2546 และได้รับสิทธิบัตรหมายเลข JP 4267981 B2 เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2552 แต่ไม่ได้ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรดังกล่าวในประเทศไทย
ทั้งนี้ หากวันนี้มีผู้ใดนำอุปกรณ์และระบบข้างต้นมายื่นขอจดสิทธิบัตรในประเทศไทย ก็จะมีประเด็นพิจารณาเรื่องความใหม่ เพราะถ้าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้เปิดเผยรายละเอียดแล้วก็จะขาดคุณสมบัติที่จะได้รับการจดทะเบียน
สำหรับในส่วนของชื่อร้าน ผู้ประกอบการญี่ปุ่นได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “ICHIRAN” เป็นภาษาญี่ปุ่นกับกรมฯ ไว้แล้ว ซึ่งทำให้ผู้อื่นไม่อาจใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของได้
ส่วนรูปแบบการตกแต่งร้านอันเป็นเครื่องหมายรูปลักษณ์ (trade dress) ไม่อาจขอรับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ดังนั้น หากร้านอิชิรันต้นตำรับจากญี่ปุ่นจะมาเปิดสาขาในประเทศไทยก็สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้อื่นนำเครื่องหมายการค้า “ICHIRAN” มาใช้หรือนำสิทธิบัตร “Shop System” มายื่นขอจดทะเบียนเป็นของตน
นายทศพลกล่าวว่า กรมฯ ขอเชิญชวนนักประดิษฐ์และผู้ประกอบการชาวไทยให้สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญารวมทั้งอัตลักษณ์ที่เป็นของตนเอง ซึ่งมีความแปลกใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้าหรือผู้รับบริการ โดยควรยื่นขอรับความคุ้มครองในไทยและในประเทศที่จะไปประกอบธุรกิจด้วย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตามกฎหมาย หากมีข้อสงสัย กรมฯ ยินดีให้คำแนะนำโดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1368