3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหาร โดยสภาหอการค้าฯ สภาอุตสาหกรรมฯ และสถาบันอาหาร เผยการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารปี 2560 แตะระดับ 1 ล้านล้านบาท พลาดเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อยจากบาทแข็งค่า ตั้งเป้าปี 2561 โต 7% แต่ยังหวั่นบาทแข็งฉุดได้ แนะรัฐดูแลให้ใกล้เคียงกับคู่แข่งทางการค้า
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า ปี 2560 คาดว่าอุตสาหกรรมอาหารจะมีการส่งออกปริมาณ 32.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1 ล้านล้านบาทโตขึ้นจากปีก่อน 5.3% โดยต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ว่าจะส่งออกได้ 33 ล้านตัน มูลค่า 1.03 ล้านล้านบาทเนื่องจากมีหลายสินค้าส่งออกลดลง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง น้ำผลไม้ มันสำปะหลัง ฯลฯ ขณะที่มูลค่าส่งออกลดลงในรูปเงินบาทเนื่องจากภาวะการแข็งค่าของเงินบาทไทยในช่วงที่ผ่านมาแม้ว่ามูลค่าส่งออกในรูปเงินเหรียญสหรัฐจะโตถึง 10% ก็ตาม
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2560 ระดับ 7% มีมูลค่าส่งออก 1.07 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญฟื้นตัวต่อเนื่อง ผลผลิตวัตถุดิบสินค้าเกษตรในปีการผลิต 2560/2561 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณน้ำฝนและนโยบายสนับสนุนภาค เกษตรกรรมและเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาล ทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs และกลุ่ม OTOP) แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการแข็งค่าของเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มต่อเนื่อง ราคาน้ำมันที่จะกระทบต้นทุนขนส่ง และการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สินค้าที่คาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ข้าว ไก่ น้ำตาลทราย กุ้ง และทูน่ากระป๋อง ส่วนสินค้าที่คาดว่าจะมีมูลค่าขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มะพร้าวเพิ่มขึ้น 17.6%, แป้งมันสำปะหลัง และอาหารพร้อมรับประทาน เพิ่มขึ้น 10%, กุ้งเพิ่มขึ้น 9.3%, น้ำตาลทรายเพิ่มขึ้น 6.8%, เครื่องปรุงรสเพิ่มขึ้น 6.8%, ไก่เพิ่มขึ้น 6.6% และน้ำผลไม้เพิ่มขึ้น 6.6%
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ปลายปี 2559 กว่า 2 บาท และยังคงมีการแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้าของไทย เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม เงินบาทของไทยแข็งค่ากว่าเงินของอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งถือเป็นปัญหาที่น่าห่วงมากที่สุดในปี 2561 เพราะรายได้จากการส่งออกเมื่อแปลงมาเป็นเงินบาทแล้วลดลงกระทบผลประโยชน์ที่จะตกลงไปถึงมือเกษตรกรและเอสเอ็มอีลดลงตามไปด้วย ดังนั้น จึงอยากให้ทางการเข้ามาดูแลให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างสมดุลกับค่าเงินของประเทศที่เป็นคู่แข่งในการส่งออกสินค้า