“น้ำตาลขอนแก่น” เผยปีนี้โกยกำไรสูงสุดในรอบ 4-5 ปีจากการบันทึกกำไรจากการนำบริษัทย่อยควบรวมกับบริษัทลูกบางจากฯ จัดตั้งบริษัทใหม่ “บีบีจีไอ” เพื่อลุยธุรกิจเอทานอลและไบโอดีเซล มองอนาคตต่อยอดไปสู่เคมีชีวภาพและไบโอพลาสติก แย้มปีหน้าเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด(มหาชน) (KSL) เปิดเผยผลการดำเนินงานบริษัทในปี 59/60 (พ.ย. 59-ต.ค. 60) ว่า บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิสูงสุดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการบันทึกกำไรรายการพิเศษจากการควบรวมบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจเอทานอลกับบริษัทลูกของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น แล้วจัดตั้งบริษัทใหม่คือ บีบีจีไอ (BBGI) ขึ้นมาดูแลธุรกิจเอทานอลและไบโอดีเซล ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการควบรวมแล้วเสร็จใน ต.ค.นี้ ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานในงวดปีนี้ของบริษัทไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากมีปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลงเหลือ 6.8 ล้านตันอ้อย แต่ธุรกิจเอทานอลมีกำไรดี ส่วนธุรกิจไฟฟ้าทรงตัว
ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดี เนื่องจากมีปริมาณอ้อยเข้าหีบเพิ่มมากขึ้นกว่าปีนี้เป็น 8.5-9 ล้านตันอ้อย เนื่องจากโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ที่จังหวัดเลยแล้วเสร็จในปลายปี 2560 ขณะที่ราคาน้ำตาลจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 16-17 เซ็นต์/ปอนด์ จากปีนี้เฉลี่ย 20 เซ็นต์/ปอนด์ ส่วนธุรกิจเอทานอลจะผลิตเพิ่มขึ้นจากกากน้ำตาลที่เพิ่ม เช่นเดียวกับธุรกิจไฟฟ้าก็มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจากการมีกากอ้อยเข้ามาป้อน
ทั้งนี้ บริษัท เคเอสแอลไอจี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยจะควบรวมกับบริษัท บีบีพี โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทลูก บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) แล้วจัดตั้งบริษัท บีบีจีไอ จำกัด ซึ่งบางจากถือหุ้นในบริษัทใหม่ดังกล่าวสัดส่วน 60% และ KSL ถือหุ้นในสัดส่วน 40%นั้น คาดว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จในเดือน ต.ค. 2560 ก่อนนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เกินไตรมาส 4/2561 โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะใช้ในการขยายธุรกิจ
นายชลัชกล่าวว่า บริษัทได้ร่วมหารือบางจากฯ เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบีบีจีไอในอนาคต โดยมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตโรงงานเอทานอล ที่จังหวัดขอนแก่นอีก 2 แสนลิตร/วัน โดยยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว คาดว่าจะได้รับอนุมัติในปีนี้ ก่อสร้างและแล้วเสร็จในปลายปี 2561 ใช้เงินลงทุนประมาณ 1พันล้านบาท ส่วนโรงงานร่วมทุนของบางจากฯ กับสีมา อินเตอร์โปรดักส์จะขยายเอทานอลเพิ่มขึ้นจาก 1.5 แสนลิตร/วัน เป็น 2 แสนลิตร/วัน เสร็จในปี 2561 ทำให้บริษัทบีบีจีไอมีกำลังผลิตเอทานอลรวมทั้งสิ้นเป็น 1.15 ล้านลิตร/วัน และไบโอดีเซล 8.1 แสนลิตร/วัน
นอกจากนี้ ยังมองโอกาสต่อยอดไปสู่เคมีชีวภาพนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio Based) เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล เพื่อรองรับสถานการณ์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ทำให้ความต้องการใช้เอทานอลทรงตัวหรือลดลง แต่อุตสาหกรรมต่อเนื่องไปผลิตเป็นเคมีภัณฑ์ใช้ทำเครื่องสำอางน่าจะตื่นตัว รวมทั้งไบโอพลาสติก แต่ทั้งนี้ขึ้นกับนโยบายภาครัฐเป็นสำคัญ