โกลบอลกรีนเคมิคอล เข้าทำการซื้อขายหลักทรัพย์วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยนักลงทุนตอบรับดี ทันทีที่เปิดตลาด ณ เวลา 10.00 น. ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 12.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1.30 บาทต่อหุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 11.61% บอร์ดเผยแนวโน้มกำไรปีนี้เติบโตตามเป้า พร้อมปรับปรุงกลยุทธเน้นการบริหารต้นทุน และเพิ่มศักยภาพการผลิต
นายจิรวัฒน์ นุริตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) กล่าวว่า บริษัทมีความพอใจราคาเปิดของหุ้น GGC ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ในวันแรกที่ราคาเหนือราคาที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO ที่ 11.20 บาทต่อหุ้น หรือประมาณ 11.61% โดยมองว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในแผนการดำเนินงานของบริษัทที่จะมีโครงการต่างๆ ที่สร้างโอกาสในการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตอย่างยั่งยืนได้ ซึ่งจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป แต่ในช่วงที่บริษัทยังไม่มีโครงการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมรายได้ ก็จะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และการผลิตผลิตภัณฑ์พิเศษที่สร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินแนวโน้มกำไรในปี 2560 คาดว่าจะสูงกว่า 937 ล้านบาท เทียบจากผลกำไรที่ทำได้ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าในส่วนรายได้ในระยะ 2 ปีนี้ (2560-2561) จะอยู่ในระดับทรงตัวจากรายได้สุทธิที่ 1.73 หมื่นล้านบาท ที่ทำได้ในปีก่อนหน้า เนื่องจากในปีนี้บริษัทปรับปรุงกลยุทธเน้นการบริหารต้นทุน และเพิ่มศักยภาพการผลิต และพัมนาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีชนิดพิเศษบางประเภทที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในการต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม ซึ่งถือเป้นกลยุทธสำคัญในการรักษาการเติบโตของกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างที่รอที่โครงการขนาดใหญ่ หรือโครงการใหม่ๆ ทำให้บริษัทยังคงสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องต่อไปได้
ขณะที่ในส่วนของแผนธุรกิจระยะสั้น 2 ปี ที่มองว่าน่าจะยังอยู่ระดับทรงตัวนั้น เนื่องจากยังไม่มีโครงการใหม่ และกำลังการผลิตใหม่ๆ เข้ามาสร้างรายได้ให้เพิ่มมากขึ้นได้ แต่แนวโน้มรายได้จะกลับมาเติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เนื่องจากโรงงานเมทิลเอสเทอร์ แห่งที่ 2 ในจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีกำลังผลิตไบโอดีเซล 200,000 ตันต่อปี แล้วเสร็จ และเปิดสายการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 4/2561 ก็จะมีรายได้เข้ามาเต็มปีตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป
ในส่วนของแผนการลงทุนในปี 2563 บริษัท มองว่า จะมีรายได้เข้ามาเสริมเข้ามาจากโครงการไบโอคอมเพล็กซ์จากอ้อยในจังหวัดนครสวรรค์แล้วเสร็จ และเริ่มเปิดดำเนินการในปี 2563 โดยโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือกับ บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ซูการ์ คอร์ปอเรชั่น หรือ KTIS ในสัดส่วนการลงทุน 50:50 มูลค่าลงทุนรวมกว่า 8,500 ล้านบาท โดยปัจจุบัน โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการเสนอราคาก่อสร้างจากผู้รับเหมา และได้ยื่นขอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ไปแล้ว คาดว่าก่อนจะสรุปรายละเอียดทั้งหมดเสนอคณะกรรมการบริษัทได้ภายในในปลายปีนี้ และหากโครงการดังกล่าวราบรื่นก็จะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2561
“โครงการไบโอคอมเพล็กซ์จากอ้อยในจังหวัดนครสวรรค์ มีโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 85 เมกะวัตต์ โรงหีบอ้อยกำลังการผลิต 2 หมื่นตันต่อวัน และโรงเอทานอลที่มีกำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน ทำให้ผู้จัดหาวัตถุดิบเพื่อรองรับการลงทุนจะเป็นของ บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ซูการ์ คอร์ปอเรชั่น”
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปบริษัทมองว่า หากปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ หรือไบโอพลาสติกต่อไปในอนาคตด้วย แต่ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมัน และความต้องการใช้ไบโอพลาสติก โดยมองว่าราคาน้ำมันที่ระดับมากกว่า 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้ไบโอพลาสติกให้สูงขึ้น ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่จะต้องช่วยสนับสนุนให้คนรู้จัก และใช้ไบโอพลาสติกมากขึ้น”