ผู้จัดการรายวัน 360 - รถขุดสายเลือดซามูไร “ซูมิโตโม” ปลื้มยอดขายรวม 5 ปีในไทยทะลุ 914 คัน เผยเหตุเอื้อตลาดโตเพราะความจำเป็นด้านการพัฒนาโครงการและแก้ไขภัยพิบัติ กางแผนปี 60 ทำยอดขาย 1.4 พันล้านบาทจาก 300 คัน ตั้งเป้า 5 ปีขึ้นผู้นำอันดับ 1 ด้วยยอดขายรวม 1.8 พันคัน
นายฉกาจ แสนจัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีดเวย์ เฮฟวี่ แมชชีนเนอรี่ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักจากประเทศญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ “ซูมิโตโม” (SUMITOMO) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่บริษัทฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปี 2559 สามารถจำหน่ายเครื่องจักรกลหนักประเภทรถขุด “ซูมิโตโม” ขนาด 8-80 ตัน รวมทั้งสิ้น 914 คัน
ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดเครื่องจักรกลหนักคือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และอื่นๆ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้า ระบบชลประทาน ระบบการจัดการน้ำ การทำเหมืองแร่และถ่านหิน เป็นต้น ดังจะเห็นได้ว่าในปี 2554 ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหาภาวะน้ำท่วมทำให้ตลาดมีความต้องการมากถึง 4.7 พันคัน จนล่าสุดในปี 2559 มีความต้องการประมาณ 4.2 พันคัน คิดเป็นมูลค่า 1.6 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2560 คาดว่าจะมีความต้องการลดลงเล็กน้อยคือประมาณ 3.4 พันคัน
ในปี 2559 ถือเป็นปีที่บริษัทฯ มียอดจำหน่ายรวมครบ 500 คันภายใน 3 ปี ด้วยยอดจำหน่าย 280 คัน เติบโตขึ้น 40% ส่งผลให้รอบบัญชีปี 2559 (เดือน มี.ค. 59-เม.ย. 60) มีรายได้รวม 1.26 พันล้านบาท ถือเป็น 1 ใน 5 ผู้นำตลาด รองจาก “โคมัตสุ” (KOMATSU), “แคตเตอร์พิลล่า” (CATERPILLAR), “โกเบโก้” (KOBELCO) และ “ฮิตาชิ” (HITACHI) ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะก้าวขึ้นสู่ผู้นำอันดับ 1 ด้วยผลประกอบการและยอดจำหน่ายเติบโตเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว หรือประมาณ 1.8 พันคันภายใน 5 ปี
“เนื่องจากบริษัทฯ ถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดประมาณ 5 ปี ในขณะที่คู่แข่งขันอยู่ในตลาดมายาวนาน 30-50 ปี บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในเรื่องการตลาดประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้สู่กลุ่มลูกค้า โดยในปีใช้งบประมาณการตลาด 50 ล้านบาทในการจัดแคมเปญและโปรโมชันนำลูกค้าทุกรายที่ซื้อรถขุดไปชมโรงงานผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น พร้อมจัดโรดโชว์ในงานแสดงสินค้าเครื่องจักรกลหนัก โดยคาดว่าในปี 2560 จะสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 300 คัน คิดเป็นรายได้ 1.4 พันล้านบาท” นายฉกาจกล่าว
ปัจจุบันบริษัทฯ มีศูนย์บริการ 9 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่, นครสวรรค์, ลำปาง, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, ราชบุรี, ฉะเชิงเทรา, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ในปี 2560 มีแผนขยายเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ระยอง และนครศรีธรรมราช รวมเป็น 12 แห่ง โดยบริษัทฯ เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีตลาดใหญ่ในภาคกลางด้วยสัดส่วน 42% ภาคใต้ 27% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20% ภาคเหนือและอื่นๆ 11% ขณะที่มีสัดส่วนลูกค้าประเภทบุคคลทั่วไป 60% และองค์กร 40% โดยมีแผนปรับสัดส่วนเป็น 50:50 ในเร็วๆ นี้
นายฉกาจกล่าวด้วยว่า นอกจากการทำตลาดในประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ ยังมีทำตลาดในประเทศพม่า ภายใต้การร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นคือ บริษัท อ่อง เฮียน มิน จำกัด ในการทำตลาดให้คำแนะนำและบริการหลังการขาย รวมถึงจำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไส้กรอง ยาง เบรก เครื่องขุดเจาะ น้ำมันเครื่อง และอื่นๆ คาดว่าในปี 2560 จะสามารถทำยอดขายได้ 1.1 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาท