xs
xsm
sm
md
lg

“เอสแอนด์พี” มุ่งขยายนอกศูนย์ฯ รุกเออีซี-โหมหนักอาหารแช่แข็ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการรายวัน 360 - เผยทั่วโลกต้องการอาหารไทยแช่แข็งต่อเนื่อง ส่งผลมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 9.5 แสนล้านบาท “เอสแอนด์พี” สบจังหวะเปิดตัว 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง หวังปั้นยอดขายจาก 40 ล้านบาทในปี 2559 ไต่ระดับถึง 2 พันล้านบาทใน 7 ปี พร้อมมุ่งเป้าขยายสาขาเพิ่มในกลุ่มประเทศเออีซี

นางเกษสุดา ไรวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) ประมาณ 40 ล้านบาท เติบโตประมาณ 50% เนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น

บริษัทฯ จึงตั้งเป้าหมายว่าจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้จากการส่งออกในปี 2560 เพิ่มเป็น 60 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทภายใน 2-3 ปี จนสามารถทำได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 10% ของรายได้รวมภายใน 7 ปีนับจากนี้

ในปี 2560 คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ อาจมีการเติบโตเพียงหลักเดียวแต่ก็ถือว่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงปลายปี 2559 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2560 มีการลงทุนด้านไอทีและอื่นๆ เป็นจำนวนเงินกว่า 200 ล้านบาท บริษัทฯ จึงมีแผนขยายช่องทางสร้างรายได้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยล่าสุดคือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง (Frozen Food) 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มอาหารมังสวิรัติ 5 รายการ 2. กลุ่มอาหารมังสวิรัติคู่กับข้าวกล้องงอกออร์แกนิกและข้าวไรซ์เบอร์รีออร์แกนิก 6 รายการ 3. กลุ่มเครื่องแกงไทย และ 4. กลุ่มขนมรับประทานเล่น

เบื้องต้นบริษัทฯ จะเริ่มทำตลาดในประเทศประมาณเดือน ก.ค.ศกนี้ โดยจะเน้นช่องทางจำหน่ายผ่านทางซูเปอร์มาร์เกตและร้านสะดวกซื้อระดับพรีเมียม เช่น วิลล่า มาร์เก็ต, กูร์เมต์ มาร์เก็ต ขณะที่แผนการตลาดจะเน้นสร้างการรับรู้ผ่านช่องทางออนไลน์และออนกราวนด์ พร้อมกิจกรรม ณ จุดขาย อาคารสำนักงาน รวมถึงร้านอาหารในเครือ โดยเฉพาะสาขาทองหล่อซึ่งถือเป็นสาขาต้นแบบที่มีการจำหน่ายสินค้าเกือบครบทุกเอสเคยู

ส่วนตลาดต่างประเทศ เริ่มมีการนำผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องแกงไทยไปใช้ในการประกอบอาหารในร้านอาหารไทยในเครือของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้า โดยจะเริ่มทำตลาดค้าปลีกในประเทศอังกฤษภายใน 6 เดือนนับจากนี้ ขณะเดียวกันยังพร้อมส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทันทีที่มีรายการสั่งซื้อ

“อาหารไทยแช่แข็งมีมูลค่าในตลาดรวมทั่วโลกประมาณ 9.5 แสนล้านบาท ถือว่ายังมีช่องทางเจาะตลาดอีกมาก เพราะตามเป้าหมายยอดขาย 2,000 ล้านบาทถือเป็นสัดส่วนเพียง 0.2% เท่านั้น ในขณะที่ทั่วโลกยังมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีการส่งออกอาหารไทยแช่แข็งไปมากกว่า 15 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยูเครน ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย จีน เวียดนาม เป็นต้น โดยมีแผนขยายช่องทางตลาดอาหารฮาลาลเพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้

นางเกษสุดากล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยทั้งสิ้น 498 แห่ง ได้แก่ ร้านอาหาร S&P เต็มรูปแบบ 142 สาขา ร้านกาแฟและเบเกอรี BlueCup Coffee 330 แห่ง ร้านภัทราและอื่นๆ 11 แห่ง ร้าน Vanilla 5 แห่ง ร้านอาหารญี่ปุ่นไมเซ็นและอื่นๆ 10 แห่ง นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารไทยในต่างประเทศ 24 แห่ง แบ่งเป็นร้านอาหารภัทรา 12 แห่ง และอื่นๆ 12 แห่ง

ในปี 2559 บริษัทฯ เปิดสาขาใหม่ในประเทศ 34 แห่ง แบ่งเป็นสาขาเต็มรูปแบบ 14 แห่ง และร้านกาแฟและเบเกอรี 20 แห่ง ส่วนต่างประเทศเปิดใหม่ 3 แห่ง ล่าสุดคือร้าน Vanilla ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ส่วนปี 2560 มีแผนเปิดสาขาใหม่ในประเทศ 20 แห่ง ใช้งบฯ ลงทุนสาขาละ 8-15 ล้านบาท โดยจะเน้นด้านการรีโนเวตสาขาเก่าที่เปิดให้บริการมานานกว่า 20-30 ปี ส่วนแผนลงทุนต่างประเทศจะเน้นในกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นหลัก โดยคาดว่าจะขยายสาขาอย่างน้อย 1 แห่งในประเทศกัมพูชา พร้อมกับศึกษาช่องทางตลาดในเวียดนาม และพม่า

“ปัจจุบันภาวะการแข่งขันของร้านอาหารในประเทศไทยถือว่าค่อนข้างรุนแรงเพราะมีผู้ประกอบการเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้า บริษัทฯ จึงพยายามที่จะเปิดสาขาใหม่ในลักษณะสแตนด์อะโลน หรือนอกห้างสรรพสินค้า ทั้งยังจะเน้นการดำเนินธุรกิจในลักษณะแฟรนไชส์มากขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2560 จะสามารถเปิดสาขาแฟรนไชส์เพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง หลังจากประสบความสำเร็จจากการเปิดแฟรนไชส์สาขาแรกที่ดอนเมืองเมื่อปี 2559” นางเกษสุดากล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น