รัฐบาลตั้งเป้าหมายพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นเมืองแห่งการบินภายในปี 2565 และเป็นมหานครการบินในปี 2570 โดยนำรูปแบบการพัฒนาสนามบินเจิ้งโจวของจีนมาเป็นโมเดลพัฒนาอู่ตะเภา หวังเทียบชั้นนานาชาติดึงดูดการลงทุน
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยในการสัมมนาการพัฒนาเมืองศูนย์การบิน โอกาสทางเศรษฐกิจและธุรกิจ ว่า ภายในระยะ 5 ปีหรือเฟสแรก รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นเมืองแห่งการบิน และเป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 ของประเทศในปี 2565 ส่วนเฟสที่ 2 รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้ใหญ่ขึ้น เป็นมหานครการบินในปี 2570
“เฟสแรกจะพัฒนาเป็นแอร์พอร์ตซิตี้ มีอาคารผู้โดยสาร รันเวย์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบิน เช่น อุตสาหกรรมการซ่อมอากาศยาน ซึ่งกำลังหารือร่วมกับแอร์บัส และโบอิ้ง ให้เข้ามาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าว และที่สำคัญจะต้องเกิดโครงการรถไฟความเร็วสูงเพื่อเข้ามาเชื่อมโยงระบบลอจิสติกส์ รวมถึงการเชื่อมโยงระบบรางกับท่าเรือ 3 แห่งเพื่อทำให้อีอีซีมีศักยภาพสูงสุด” นายคณิศกล่าว
ทั้งนี้ เฟสแรกมีเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนผู้โดยสารเป็น 15 ล้านคน ในระยะ 5 ปี และในปี 2570 หรือ 10 ปีข้างหน้าจะเพิ่มจำนวนเป็น 30 ล้านคน และ 60 ล้านคนในระยะเวลา 15 ปี หรือปี 2575 โดยจะยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้ใช้ประโยชน์ได้ทั้งทางคมนาคมลอจิสติกส์ ผนวกเข้ากับการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลเชิญ นายจอห์น ดี. คาซาร์ดา (John D. kasarda) ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาด้านการบินพาณิชย์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา สหรัฐอเมริกาและเป็นผู้นำในการพัฒนาแนวคิดเมืองการบิน มาร่วมพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นมหานครการบิน
ทั้งนี้ นายจอห์น ดี. คาซาร์ดา เป็นผู้ที่พัฒนาสนามบินเจิ้งโจว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน จนประสบผลสำเร็จและดึงดูดการลงทุนจากนานาประเทศมาตั้งโรงงานผลิตสินค้าต่างๆ ในพื้นที่โดยรอบสนามบินเจิ้งโจว ซึ่งประเทศไทยมีเป้าหมายเช่นเดียวกันที่จะใช้สนามบินเจิ้งโจวเป็นต้นแบบในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เพื่อดึงให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มาลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ รอบสนามบิน ซึ่งจะเกิดการจ้างงานตามมาอีกเป็นจำนวนมาก