“บีทีเอส” จ่อเซ็นสัมปทาน “ชมพู-เหลือง” กว่าแสนล้าน 16 มิ.ย.นี้ “คีรี” ยันต่อขยายเส้นทางไม่เอื้อบางกอกแลนด์ ย้ำมองที่ความสะดวกของผู้โดยสารและการแก้จราจร เตรียมเซ็นซื้อรถไฟฟ้าพร้อมกันรวม 288 ตู้ มูลค่า 5 หมื่นล้าน ยันแหล่งเงินไม่มีปัญหา คาดศึกษา EIA ส่วนต่อขยายเสร็จใน 1.5 ปี เร่งเสนอตามขั้นตอน เผยค่าโดยสาร 14-42 บาท คาดผู้โดยสารแต่ละสายไม่ต่ำกว่า 1.2 แสนคน/วัน และพร้อมจับมือพันธมิตรเดิม ลงทุน EEC ขอแค่รัฐมีโครงการชัดเจน
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จะมีการลงนามสัญญาสัมปทาน (PPP-Net Cost) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี 53,519.50 ล้านบาท และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง วงเงิน 51,931.15 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR Joint Venture) กับ รฟม.ในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ และคาดว่าจะเซ็นสัญญาด้านแหล่งเงินทุนรวมถึงเรื่องการจัดหาระบบรถไฟฟ้าด้วย แม้ว่าจะมองเป็นโครงการที่ไม่น่าลงทุนเพราะอัตราผลตอบแทนการลงทุนเพียง 8% เท่านั้น แต่บีทีเอสจะใช้ประสบการณ์บริหารการก่อสร้างและเดินรถที่คุ้มต้นทุนได้ โดยมีผู้ก่อสร้างมาร่วมทุน และเลือกรถที่ราคาเหมาะสม มีระบบที่ดี ปลอดภัย อาจจะตัดสิ่งฟุ่มเฟือยออกทำให้ต้นทุนต่ำลงได้
ส่วนข้อเสนอซองที่ 3 เพิ่มเติมนั้นจะต้องผ่านกระบวนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในช่วงส่วนต่อขยาย เพิ่มเติมทั้ง 2 สาย คือ ช่วงต่อขยายสายสีชมพู เข้าโครงการเมืองทองธานี อีก 2 สถานี ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร และช่วงต่อขยายสายสีเหลือง โดยการเชื่อต่อไปตามถนนรัชดาภิเษกไปยังโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริเวณแยกรัชโยธิน ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร อีก 2 สถานี คาดว่าจะใช้ระยะเวลาศึกษาประมาณ 1 ปีครึ่ง และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) บรรจุในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชน ระยะที่ 2 และทาง สคร.ต้องเห็นชอบก่อน ซึ่งบริษัทฯ พร้อมดำเนินการทันที
ทั้งนี้ รฟม.กำหนดให้ยื่น 3 ซอง คือ ซองด้านเทคนิค ซองการเงิน และซองที่ 3 คือ ข้อเสนอเพิ่มเติม ซึ่งจะพิจารณาเมื่อเป็นผู้ชนะในซองการเงินแล้ว โดยข้อเสนอเพิ่มเติมดังกล่าวหากมีความถูกต้องจึงจะพิจารณา ซึ่งกลุ่มบีเอสอาร์เสนอซองที่ 3 เพื่อให้โครงข่ายสมบูรณ์มากที่สุด โดยเรียนรู้มาจากสายสีม่วงที่ขาดตอน ทำให้กระทบต่อความสะดวกของผู้โดยสารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ที่มีปัญหา หรือแม้แต่รถไฟฟ้า MRT ตัวเลขผู้โดยสารยังไม่ถึงเป้าหมายเพราะขาดความต่อเชื่อม ไม่ใช่บริการไม่ได้ ดังนั้นจึงเสนอต่อขยายสายสีชมพู และสีเหลือง โดยลงทุนเองทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ผู้โดยสารจะเดินทางเชื่อมไปยังรถไฟฟ้าได้หลายสาย มีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น รถไฟฟ้าทุกสายมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ปัญหาการจราจรจะลดลง
“กรณีระบุว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นการต่อเข้าไปในพื้นที่อิมแพค เมืองทองธานี ของบางกอกแลนด์ มองเป็นการเอื้อประโยชน์กันนั้น ต้องบอกว่าอิมแพคใช้มานาน และวันนี้เป็นที่ซึ่งรัฐบาลและเอกชนไปใช้ทำกิจกรรม และเกิดปัญหาจราจรมาก หากต่อเชื่อมรถไฟฟ้าไปได้จะทำให้เกิดความสะดวกแน่นอน หากสิ่งแวดล้อมไม่มีปัญหา
โดยสีชมพูขยายเส้นทางเข้าไปในศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี ระยะทาง 2.8 กม. มี 2 สถานี สถานีแรกตั้งอยู่บริเวณอาคารอิมแพค ชาเลนเจอร์ และสถานีที่ 2 บริเวณทะเลสาบ และส่วนราชการ ทางแยกนี้จะแยกออกจากสถานีศรีรัช ซึ่งในปีที่ผ่านมาศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี มีผู้ใช้บริการถึงกว่า 10 ล้านคน/ปี และในเมืองทองธานีมีประชาชนอยู่อาศัยกว่า 150,000 คน
ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเหลืองซึ่งมีจุดสิ้นสุดที่แยกรัชดาตัดกับถนนลาดพร้าว ได้เสนอให้ขยายเส้นทางต่อไปตามถนนรัชดาภิเษกอีกประมาณ 2.6 กม. สิ้นสุดบริเวณแยกรัชโยธิน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานี N 10 (บริเวณปากซอยพหลโยธิน 24) ของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (จากหมอชิตไปคูคตที่กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง) โดยเสนอให้มีสถานีรับ-ส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 2 สถานี สถานีแรกอยู่ประมาณกึ่งกลางของเส้นทางส่วนต่อขยายนี้ และสถานีสุดท้ายบริเวณก่อนถึงแยกรัชโยธิน โดยในเฟสแรกจะจัดซื้อรถรวม 288 ตู้ ขบวนละ 4 ตู้ แบ่งเป็น สายสีเหลือง 120 ตู้ ชมพู 168 ตู้ มูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้าน โดยแผนระยะยาวสีชมพูจะต่อเป็น 6 ตู้/ขบวน โดยกำหนดค่าโดยสารตามทีโออาร์เริ่มต้นที่14-42 บาท ประมาณการจำนวนผู้โดยสารแต่ละสายไม่ต่ำกว่า 1.2 แสนคน/วันในปีแรกที่เปิดให้บริการ
ขณะนี้ได้สำรวจพื้นที่ไปแล้ว 100% เริ่มออกแบบบางส่วน การเริ่มต้นก่อสร้างมีปัจจัยในการรอส่งมอบพื้นที่จาก กทม.และกรมทางหลวง ขณะนี้จะเลือกการออกแบบตัวเสาเข็มก่อน เมื่อเลือกชนิดของรถและน้ำหนักรถจะเริ่มก่อสร้างได้เลยภายในปีนี้จะต้องเริ่มภายในปีนี้แน่นอน
นายคีรีกล่าวว่า กรณีระบุว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นการต่อเข้าไปในพื้นที่อิมแพค เมืองทองธานี ของบางกอกแลนด์ มองเป็นการเอื้อประโยชน์กันนั้น ต้องบอกว่าอิมแพคใช้มานานและวันนี้เป็นที่ซึ่งรัฐบาลและเอกชนไปใช้ทำกิจกรรม และเกิดปัญหาจราจรมาก หากต่อเชื่อมรถไฟฟ้าไปได้ จะทำให้เกิดความสะดวกแน่นอน หากสิ่งแวดล้อมไม่มีปัญหา ทั้ง สคร.น่าจะเห็นด้วย และ สนข.น่าจะมองว่าใส่เข้าไปในแผนแม่บท 2 เพราะรัฐบาลไม่ต้องลงทุน
สำหรับบีทีเอสลงทุนสายสีเขียว ได้ลงนามสัญญาเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ในปีนี้จะได้เซ็นสัญญาสีชมพู เหลือง ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายกันกับสีเขียว คือ ลงทุนทั้งหมดทั้งโยธา และงานจัดหาและติดตั้งระบบ (E&M) ซึ่งเป็นสัญญาสัมปทานที่มีประโยชน์มาก สำหรับประชาชนในกรุงเทพฯ ช่วยลดการจราจรที่แออัด ซึ่งการที่เอกชนลงทุนทั้งหมด 100% แต่รัฐต้องสนับสนุนด้วย เพราะสายสีเขียวที่เปิดเริ่มต้น ผู้โดยสาร 1.5 แสนคน/วัน ห่างจากตัวเลขประมาณการไว้ที่จะอยู่ได้ จนเกือบ 10 ปี ผู้โดยสารถึงมาอยู่ที่ 8 แสนคน/วัน โดยในด้านของรายได้ ที่ผู้โดยสารปัจจุบัน กรณีที่เอกชนลงทุน 100% ยังไม่คุ้มทุน แต่บีทีเอสเป็นรายแรกที่ดำเนินการ และได้ทำการฟื้นฟู จัดแบ่งหนี้สินออกไปจากบริษัทฯ จึงทำให้สามารถฟื้นตัวได้ มีกำไรที่เหมาะสม และน่าสนใจได้
ปัจจุบันบีทีเอสให้บริหารรถไฟฟ้ารวม 67 กม. และอีก 3 ปีเมื่อสายสีชมพูและเหลืองเปิดเดินรถจะเพิ่มอีก 64 กม. ต่อสายสีเขียวไปตลิ่งชัน อีก 7 กม. และสายสีทองที่ ครม.อนุมัติไปแล้ว ระยะทางทั้งหมดรวม 146 กม. ซึ่งจะเป็นโครงข่ายที่ให้บริการผู้โดยสารได้กว่า 2 ล้านคน/วัน จะช่วยลดปัญหาจราจรได้
นายคีรีกล่าวว่า กลุ่มบีเอสอาร์เป็นเอกชนไทยที่มีศักยภาพ ทั้งด้านก่อสร้าง การเงิน การบริหาร และพร้อมที่จะร่วมลงทุนในแผนโครงการพัฒนาระเบียง เศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC โดยขอภาพที่ชัดเจนจากรัฐบาล เพื่อดูว่าจะไปร่วมลงทุนได้อย่างไรบ้าง
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เบื้องต้น ซิโน-ไทยฯ ร่วมลงทุนในสัดส่วน 15% ซึ่งจะใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การต่อขยายเส้นทางในซองที่ 3 นั้น เงื่อนไขที่ศึกษา และออกค่าก่อสร้างทั้งหมดให้รัฐ เหลือเพียงให้ขั้นตอนเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบเท่านั้น และเชื่อว่า EIA จะไม่มีปัญหา ขณะที่ค่าก่อสร้างหากแยกก่อสร้างโครงการหลักกับส่วนต่อขยาย 2 กับการก่อสร้างไปพร้อมๆ กัน ค่าก่อสร้างแตกต่างกัน เป็นประเด็นที่พิจารณาในซองที่ 3
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯมีกำไรสะสมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท มีเงินสดในมือ 1.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นในสัดส่วนลงทุนที่ 10% สามารถใช้เงินสดในมือได้ ขณะที่สนใจการลงทุนใน EEC ทั้งด้านพลังงานและลอจิสติกส์ รอเพียงความชัดเจนในแต่ละโครงการ