ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไทยออพติคอล กรุ๊ป” ชะลอแผนขยายตลาดเมืองลุงแซม เหตุวิตกความผันผวนด้านเศรษฐกิจหลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ขึ้นแท่นผู้นำคนใหม่ พร้อมเลื่อนแผนการลงทุนในฟิลิปปินส์เพราะรอดูท่าทีประธานาธิบดี “โรดริโก ดูเตอร์เต” เผย 3 ไตรมาสแรกปี 59 ทำรายได้ 1,393 ล้านบาท เติบโต 5.03% แต่กำไรสุทธิลดลง -8.3% เหตุรับผลกระทบ Brexit
นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายเลนส์สายตาพลาสติกรายใหญ่ของประเทศไทยและผู้ผลิตเลนส์อิสระในระดับสากล เปิดเผยว่า จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งปราฏว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะอย่างเหนือความคาดหมายนั้น บริษัทฯ ต้องทบทวนและชะลอแผนการขยายตลาดสหรัฐอเมริกาออกไปสักระยะเพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบายทางเศรษฐกิจและความผันผวนด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน โดยคาดว่าประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 จึงจะสรุปผลได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร
ในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,824 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนในประเทศ 5% และตลาดต่างประเทศ 95% แบ่งเป็นยุโรป 43.7% ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 31.3% เอเชียและแอฟริกา 19% และสหรัฐอเมริกา 6% ส่วนปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 10-15% คิดเป็นรายได้รวมประมาณ 2 พันล้านบาท พร้อมปรับสัดส่วนเป็นยุโรป 39% ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 30% เอเชียและแอฟริกา 19% และสหรัฐอเมริกา 12%
“ก่อนหน้านั้นบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสัดส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาเป็น 15-18% เนื่องจากเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีโอกาสเติบโตอีกมาก ดังจะเห็นได้จากมูลค่าตลาดโลกของเลนส์สายตาประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นตลาดสหรัฐอเมริกา 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดเอเชีย 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ และอื่นๆ รวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มูลค่าตลาดในประเทศไทยยังมีเพียง 2 พันล้านบาท”
นายธรณ์กล่าวด้วยว่า ตลาดเลนส์สายตาในสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างจะตลาดอื่นๆ คือมีผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะผูกขาด ในขณะที่ตลาดระดับรองลงมาในเซกเมนต์อื่นๆ ยังมีช่องว่างอีกมากซึ่งถือเป็นโอกาสดีสำหรับบริษัทฯ ในการทำตลาด ฉะนั้น หากนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ความสำคัญแก่ผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น บริษัทฯ ก็พร้อมจะเดินหน้าทำตลาดอย่างต่อเนื่องทันที
“บริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเออีซีจาก 15% เป็น 20% ในกรณีที่แนวการทำตลาดในสหรัฐอเมริกาไม่เป็นไปตามแผน โดยปัจจุบันมีการจำหน่ายสินค้าผ่านบริษัทร่วมทุนใน 3 ประเทศ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 33% ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษารายละเอียดที่จะขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะเห็นผลได้ภายในปี 2560 ส่วนในประเทศพม่ายังไม่มีความสนใจ ขณะที่การลงทุนในฟิลิปปินส์ต้องเลื่อนแผนออกไปอีกระยะ เนื่องจากต้องรอความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจของนายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีคนใหม่เช่นกัน”
นายธรณ์กล่าวด้วยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ไตรมาสของปี 2559 มีรายได้รวมจากการขายและบริการอื่นๆ จำนวน 1,392.51 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน 66.74 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 5.03% แต่มีกำไรสุทธิ 159.49 ล้านบาท ลดลง -8.3% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ Brexit ซึ่งประเทศอังกฤษลาออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ของบริษัทฯ