ผู้จัดการรายวัน 360 - “ไทยออพติคอล กรุ๊ป” เดินหน้าสู่ผู้ผลิตเลนส์อิสระอันดับ 1 ของโลก พร้อมรายได้ 4 พันล้านบาทใน 5-7 ปี ทุ่มงบฯ ลงทุน 800 ล้านบาทสูงสุดใน 5 ปี เร่งผลิตเลนส์สายตาเฉพาะบุคคล 3 ล้านชิ้นต่อปีรับความต้องการตลาดโลก เพิ่มจากการผลิตเลนส์สายตาทุกชนิดรวม 30 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมรีแบรนด์และขยายไลน์ผลิตครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายภายใต้ 6 แบรนด์ใหม่ หลังสร้างชื่อจากการการเป็น OEM ให้แว่นตาแบรนด์ดังทั่วโลก
นายสรัฐ เตกาญจนวนิช ผู้อำนวยการสำนักวางแผนธุรกิจและการเงิน บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายเลนส์สายตาพลาสติกรายใหญ่ของประเทศไทย และผู้ผลิตเลนส์อิสระในระดับสากลภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM) เปิดเผยว่า ตลาดเลนส์และแว่นสายตาในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 5 พันล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 5-8% ต่อปี ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มผู้สวมแว่นสายตาใหม่เป็นอันแรกที่ยังมีอายุน้อย เช่น กลุ่มนักเรียนนักศึกษาและวัยทำงานตอนต้น ขณะที่ประเทศที่มีการขยายตัวของเมืองใหญ่ในอัตราสูงจะมีตลาดที่เติบโตเพราะมีกลุ่มผู้ใช้แว่นสายตาต้องการแว่นสายตาอันที่ 2 และ 3 มากขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มความต้องการเลนส์สายตาเฉพาะบุคคล หรือเลนส์สั่งฝนพิเศษ (Prescription Lens หรือ RX Lens) ซึ่งเป็นเลนส์ระดับพรีเมี่ยมถือได้ว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนยอดขายของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 ซึ่งทำได้ 1,392.51 ล้านบาท พบว่า การจำหน่ายเลนส์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value - Added) และสร้างผลต่างกำไรขั้นต้น (Margin) 20-30% คิดเป็นสัดส่วนถึง 61.4% ของยอดขายรวม แบ่งเป็น RX Lens 29.2% และเลนส์ในลักษณะ Value-Added เช่น เลนส์กันกระแทก เลนส์เปลี่ยนสี เลนส์โปรเกรสซีฟ ฯลฯ 32.2% ขณะที่เลนส์มาตรฐานสร้างผลต่างกำไรขั้นต้น 10-20% มีสัดส่วน 31.3% และอื่นๆ 7.2% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ เลนส์ High Value - Added มีสัดส่วน 59.5% แบ่งเป็น RX Lens 24.2% และเลนส์ Value-Added 35.3% ขณะที่เลนส์มาตรฐานมีสัดส่วน 34.9% และอื่นๆ 5.7%
นายสรัฐกล่าวอีกว่า บริษัทฯ มีการผลิตเลนส์ทุกชนิดด้วยกำลังการผลิตประมาณ 30 ล้านชิ้นต่อปี โดยมีการแยกผลิต RX Lens ต่างหาก 1 ล้านชิ้นต่อปี บริษัทจึงกำหนดแผนลงทุน 3 ปี (2559-2561) ในการขยายกำลังการผลิต RX Lens และลงทุนด้านต่างๆ โดยใช้งบประมาณ 800 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี แบ่งเป็นการลงทุนด้านเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตด้วยระบบ Automation เฟสแรกในเดือน มี.ค. 60 ด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1 ล้านชิ้นต่อปี ก่อนที่จะลงทุนเพิ่มอีก 200-250 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตเป็น 3 ล้านชิ้นต่อปีในเฟสสอง ประมาณเดือน เม.ย.60 นอกจากนั้นยังมีการลงทุนด้านต่างๆ โดยใช้งบฯ ลงทุนประจำปีอีกประมาณ 100-150 ล้านบาท หรือประมาณ 5-8% ของยอดขาย
“การลงทุนดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายสร้างรายได้ 4 พันล้านบาทภายใน 5-7 ปี พร้อมเป้าหมายผู้ผลิตเลนส์อิสระอันดับ 1 ของโลก โดยก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2558 บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการของ บริษัท โพลีซัน จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตเลนส์ย้อมสีและเลนส์โพลาไรซ์ โดยคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรายได้จากการเพิ่มยอดขายเป็น 100 ล้านบาทภายใน 2-3 ปี จากปรกติที่มียอดขายประมาณ 60-70 ล้านบาท”
ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์เลนส์สายตาทุกชนิดรวมประมาณ 6 หมื่นเอสเคยู โดยแต่ละปีจะมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 3 เอสเคยู ล่าสุดคือการผลิตเลนส์สายตาชีวภาพ “LEAF ECO” โดยใช้วัตถุดิบจากปาล์มน้ำมันซึ่งสามารถช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตได้ถึง 326 กิโลกรัมต่อการผลิตเรซิน 100 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการผลิตเลนส์พลาสติกที่ใช้ปิโตรเคมีเป็นวัตถุดิบ โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ที่ได้ทำการวิจัยพัฒนาเลนส์ชีวภาพชนิดนี้โดยเตรียมนำออกสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นไป ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 10-12 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมคาดว่าจะมียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 40% จากยอดขายรวม
“TOG ถือเป็นผู้ผลิตในฐานะ OEM ให้แบรนด์แว่นตาต่างๆ ทั่วโลก โดยอยู่อันดับ 3 ในตลาดเลนส์สายตาของประเทศไทย รองจาก ESSILOR และ HOYA ในปี 2559 จึงขยายไลน์ผลิตภัณฑ์พร้อมยกระดับแบรนด์เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งานให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และง่ายต่อการจดจำของผู้บริโภคยิ่งขึ้นจากเดิมที่มี Excelite เพียงแบรนด์เดียว โดยมีการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์เลนส์สายตาใหม่ 6 แบรนด์เพื่อจำหน่ายในตลาดทั่วไป ได้แก่ ONE, SHADE, DISCOVERY, freedom, MAXIMA, และ Zaphire ส่วนแบรนด์ Excelite จะทำตลาดในลักษณะ B2B”
นายสรัฐกล่าวในตอนท้ายว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านแว่นตาทั่วประเทศมากกว่า 5 พันแห่ง โดยร้าน “ท็อปเจริญ” และ “บิวตี้ฟูล” มีสาขารวมกันมากที่สุดประมาณ 2 พันแห่ง บริษัทฯ จึงใช้งบประมาณในการรีแบรนด์ครั้งนี้ 10 ล้านบาท พร้อมจัดงบประมาณการตลาดอีกประมาณ 4 ล้านบาท จากงบประมาณการตลาดรวม 15 ล้านบาทต่อปี เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ผ่านผู้แทนจำหน่ายหลักคือ บริษัท นำศิลปไทย จำกัด ซึ่งมีเครือข่ายร้านแว่นตาทั่วประเทศประมาณ 2 พันแห่ง พร้อมทั้งยังจะมีการจำหน่ายผ่านพันธมิตรคือร้าน “หอแว่น” มากกว่า 100 แห่ง โดยยังเตรียมทำตลาดกลุ่มประเทศเออีซี คือ เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นไป