กบง.เคาะตรึงราคาแอลพีจีขายปลีกเดือน พ.ย. 59 ไว้ที่ 20.29 บาทต่อ กก. ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 มีผลตั้งแต่ 8 พ.ย.เป็นต้นไป แม้ต้นทุนจริงจะต้องปรับขึ้น 0.652 บาทต่อ กก. โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีแอลพีจีที่ยังคงมีสะสมมารับภาระชดเชย
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และในฐานะโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งมี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ว่าที่ประชุม กบง.ให้คงราคาขายปลีกแอลพีจีสำหรับเดือน พ.ย. 59 ไว้ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 8 พ.ย. 2559 เป็นต้นไปแม้ว่าการคำนวณราคาต้นทุนเฉลี่ยการจัดหาแอลพีจีทั้งระบบ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6521 บาทต่อ กก. จาก 12.99 บาทต่อ กก.เป็น 13.65 บาทต่อ กก. ทั้งนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
ทั้งนี้ กบง.ได้ให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนบัญชีแอลพีจี รับภาระชดเชยจากต้นทุนที่ขึ้นทั้งหมด 0.6521 บาทต่อ กก. จากเดิมเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ที่ 0.3211 บาทต่อ กก. ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเป็น 0.331 บาทต่อ กก. หรือกองทุนฯมีรายจ่ายประมาณ 98 ล้านบาทต่อเดือน โดยฐานะสุทธิของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2559 อยู่ที่ 41,607 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) ในส่วนของบัญชีก๊าซแอลพีจี อยู่ที่ 7,595 ล้านบาท และ 2) ในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูป อยู่ที่ 34,012 ล้านบาท
นายทวารัฐยังได้กล่าวถึงสถานการณ์น้ำมันขณะนี้ว่า คาดว่า 1-2 สัปดาห์นี้ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวและมีทิศทางที่อ่อนตัวมากกว่าปรับขึ้น จากความเห็นที่ต่างกันในสมาชิกกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโลก (โอเปก) กรณีการลดอัตรากำลังการผลิตลง โดยยังไม่รวมประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หากมองในประเด็นดังกล่าวขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้นำหากเป็นนางฮิลลารี คลินตัน นโยบายด้านต่างประเทศคงไม่เปลี่ยนผลต่อตลาดน้ำมันคงไม่เปลี่ยนแปลงมาก แต่หากเป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงแต่ก็ยังคาดเดาได้ยากว่าจะกระทบต่อตลาดน้ำมันมากน้อยเพียงใด
