“กบง.” ดึงเงินโปะกองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้ราคาแอลพีจี ต.ค.คงเดิม

กบง.เคาะราคาแอลพีจีขายปลีกเดือน ต.ค. 59 ที่ระดับ 20.29 บาทต่อ กก.คงเดิม แม้ต้นทุนรวมจะลดลง 0.1644 บาทต่อ กก.ก็ตาม เหตุลดเพียงเล็กน้อยจึงโยกเงินดังกล่าวเข้าสะสมกองทุนน้ำมันฯ บัญชีแอลพีจีแทน พร้อมเกาะติดราคาตลาดโลกหลังน้ำมันเริ่มขยับอาจส่งผลให้คนหันมาใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้น

นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งมี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ว่า กบง.ได้เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกแอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) ประจำเดือนตุลาคม 2559 ที่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) แม้ว่าราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool) จะปรับตัวลดลง 0.1644 บาทต่อ กก. จาก 13.1623 บาทต่อ กก. เป็น 12.9979 บาทต่อ กก. แต่เพื่อเป็นการลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงที่ผ่านมา กบง.จึงให้นำเงินดังกล่าวฯ เก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ แทน

“แม้ว่าราคาแอลพีจีตลาดโลก (CP) ต.ค. 437 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 47 เหรียญฯ ต่อตัน รวมถึงแอลพีจีนำเข้าและจากโรงกลั่น แต่ราคาโรงแยกก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 13.3821 บาทต่อกิโลกรัมปรับตัวลดลง 1.2890 บาทต่อ กก. จาก 14.6711 บาทต่อ กก. เนื่องมาจากราคาเนื้อก๊าซธรรมชาติและค่าเชื้อเพลิงในการผลิตปรับตัวลดลงจึงทำให้ราคาแอลพีจีถัวเฉลี่ยลดลง 5 เหรียญฯ ต่อตัน หรือ 0.1644 บาทต่อ กก. ซึ่งราคานี้น้อยมากหากลดไปแล้วคงไม่มีผลต่อราคาขายปลีกมากจึงขอให้นำเข้ากองทุนฯ จะดีกว่า” นายทวารัฐกล่าว

ทั้งนี้ ผลการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ครั้งนี้ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันจากเดิมที่เก็บเงินเข้า 0.16 บาทต่อ กก. จะเก็บเพิ่มเป็น 0.32 บาทต่อ กก. อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มขยับเพิ่มขึ้นจากผลมติของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่จะลดกำลังผลิตลงนั้นทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกมีความผันผวน แต่มีทิศทางที่จะปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น สนพ.จะได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะสะท้อนให้ราคาแอลพีจีตลาดโลกปรับขึ้นได้เช่นกัน แม้ในแง่ของราคาขายปลีกแอลพีจีในประเทศยังมีราคาจากโรงแยกก๊าซในประเทศที่อิงราคาน้ำมันย้อนหลัง 6-12 เดือนมำคำนวณราคายังมีทิศทางลดลงก็ตาม

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอาจส่งให้การหันมาใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย โดย 9 เดือนแรกมีการใช้ 5.03 แสนตัน และในเดือน มิ.ย.-ก.ค. 59 มีการนำเข้า 4.7 หมื่นตัน ส.ค.-ก.ย.มีการนำเข้า 4.7 หมื่นตันเช่นกัน และคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้ก็มีแนวโน้มจะนำเข้าในอัตราดังกล่าวเช่นกัน